สัปดาห์ที่ ๑๑




บทที่ ๕
การจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา
โฉมหน้าการศึกษาของไทยในปัจจุบัน มุ่งไปสู่การให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ซึ่งการเรียนรู้มิใช่เป็นเพียงการเรียนเพื่อรู้เท่านั้น แต่เป็นการเรียนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ เรียนเพื่อรู้จักตนเอง เรียนเพื่อรู้จักกับร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้เพื่อการเจริญงอกงามทั้งร่างกายและจิตใจ เรียนรู้เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ต่างๆ ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์หลักของการปฏิรูป และเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา ดังที่ กระเวศกล่าวว่า การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาเพราะเป็นการปฏิรูปแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา จากเดิมที่การมองคนเป็นวัตถุที่จะต้องหล่อหลอมปั้นตกแต่งโดยการสอนสั่ง อบรม ไปเป็นการมองคนในฐานะคนเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้และงอกงามอย่างหลากหลาย
สำหรับประเทศไทยได้จัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษามาระยะหนึ่ง โดยมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นแม่บทหรือทิศทางและนำลงสู่การปฏิบัติด้วยการกำหนดเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องและสำคัญหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ และพัฒนาเป็นหลักสูตรสถานศึกษาสำหรับสถานศึกษาแต่ละแห่งตามความเหมาะสม จากผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูการศึกษานี้ พบว่า บางพื้นที่ยังมีปัญหาอยู่บ้าง
๑.ความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ๒๕๔๓ ที่ได้สรุปถึงความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้หรือปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษา ซึ่งสามารถสังเคราะห์ได้ดังนี้
๑.      ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพของคนไทย การปฏิรูปวัฒนธรรมการเรียนรู้ใหม่จะช่วยพัฒนาคนไทยให้เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ผู้อื่นและสรรพสิ่งทั้งหลาย รู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในครรลองแห่งความดีงาม รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน เป็นคนที่มีเหตุผลยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพกติกาของสังคม มีความขยัน ซื่อสัตย์ และเสียสละเพื่อส่วมรวม มีความสามารถในการใช้ศักยภาพของสมองได้ทั้งซีกซ้ายและขวาอย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน คือ ความสามารถในด้านการใช้ภาษาสื่อสาร การคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์แบบวิทยาศาสตร์ คิดเป็นระบบ
๒.      ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนความเข้มแข็งของสังคมไทย ให้สมาชิกของสังคมมีจิตสำนึกร่วมกันในการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหาของส่วนรวม มีการบริหารอย่างถูกต้องแยบยน ลดความขัดแย้ง ทุกคนมีความรับผิดชอบที่จะนำพาสังคมให้ก้าวหน้าและเข้มแข็ง
๓.      ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและบริบทการเรียนรู้ในยุคโลกาภิวัฒน์ การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องจัดให้สอดคล้องกับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่วิทยาการเจริญรุดหน้า ความรูและสรรพวิทยาการเดินทางไปในที่ต่างๆ ด้วยความรวดเร็วข้อมูลและข่าวสารต่างๆ เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้เรียนต้องมีความคล่องแคล่วในการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และรู้จักสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตน ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ
๔.      ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน การปฏิรูปการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ครู ผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครองและสังคมไทย ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นการเปิดแนวทางให้ครู พ่อแม่ ผู้ปกครองและชุมชนมีอิสระในการอบรมเลี้ยงดูให้การศึกษา จัดหลักสูตรอันจะเป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
๕.      ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย การปฏิรูปการเรียนรู้เป็นหัวใจของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ที่มีกฎหมายรองรับ ครูอาจารย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องถือปฏิบัติให้บรรลุปลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
๒.แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา
การจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษายึดหลัการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และมุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นความหมายเดียวกันกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การยึดผู้เรียนเป็นหลักวิธีนี้ได้พัฒนาเป็นเวลานานมากกว่า ๘๐ ปี และปัจจุบันได้มีผู้นำเสนอแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงประสงค์ได้ ๒ วิธี คือ
๑.      การจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผู้เรียนจะเป็นผู้ทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวก ความรู้เป็นผลพลอยได้จากการทำกิจกรรม ระหว่างกิจกรรมเด็กผู้เรียนก็จะได้พัฒนาตนเอง ทางกาคิด การปฏิบัติ การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน การวางแผนการจัดการ
๒.      จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นกระบวนการ หมายถึง การมีขั้นตอนต่างๆ ให้ผู้เรียนได้แสดงออกหรือปฏิบัติโดยการใช้ร่างกาย ความคิด การพูด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ คือ ความรู้หลังจากกิจกรรมและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปประเด็นสาระสำคัญของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญไว้ ดังนี้
ประเด็นที่ ๑ การเรียนรู้โดยการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การเรียนรู้ที่เป็นกระบวนการส้รางประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่ให้ความหมายต่อตนเองจากการปฏิรูปกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการคิดและแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง ให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง
ประเด็นที่ ๒ การเรียนรู้เรื่องของตนเอง ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเรียนรู้เพือ่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของตนเองการรับรู้และตระหนักในตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรม มีความเพียรพยายามในการทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ การเสริมสร้างลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพความดีงามในตนเอง
ประเด็นที่ ๓ การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ มีลักษณะดังนี้
๓.๑ การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตทร่สำคัญจำเป็น ดังต่อไปนี้ การรู้จักคิดวิเคราะห์มีความคิดสร้างสรรค์ มีความตระหนักรู้ในตนเอง มีความเห็นใจผู้อื่น มีความภูมิใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้จักสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร
๓.๒ การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ หมายถึง การเรียนรู้เพื่อค้นพบและใช้ศักยภาพของตน เพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับตนเอง รู้จักวิธีเลือกประกอบอาชีพที่สุจริตเหมาะสม สามารถพึ่งตนเอง และเลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียง
ประเด็นที่ ๔ การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหาโดยเน้นประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติ หมายถึง การใช้ทักษะการคิดเพื่อค้นหาคำตอบในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาศัยประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติจริง เพื่อสามารถเผชิญกับปัญหาและจัดการได้อย่างเหมาะสม
ประเด็นที่ ๕ การเรียนรู้โดยผสมผสานความรู้ คุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง การเรียนรู้ที่มุ่งให้มีความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ควบคู่กับการพัฒนาตนเอง
ประเด็นที่ ๖ การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาประชาธิปไตย หมายถึง การเรียนรู้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาคและการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน การเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
ประเด็นที่ ๗ การเรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจความตระหนักในคุณค่าของความรู้ต่างๆ ที่ได้คิดค้นและสั่งสมประสบการณ์โดยภูมิปัญญาไทย ตลอดจนมีความรัก ชื่นชมและหวงแหนในคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม
ประเด็นที่ ๘ การวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การศึกษารวบรวมข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุปผล เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษา
ประเด็นที่ ๙ การเรียนรู้โดยความร่วมมือของครอบครัวและชุมชน หมายถึง การที่ครอบครับ ชุมชนและสถานศึกษามีบทบาทร่วมกันในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
ประเด็นที่ ๑๐ การประเมินผลผู้เรียน หมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคุณภาพลักษณะและพฤติกรรมของผู้เรียนว่าเป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่อย่างไร
ดังนั้น แนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีควรจะต้องเป็นการเรียนการสอนที่ดี ซึ่งการเรียนการสอนที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
๑.      ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
๒.      ต้องยึดความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
๓.      ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน
๔.      ต้องเป็นที่น่าสนใจ ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย
๕.      ต้องดำเนินไปด้วยความเมตตา
๖.      ต้องท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้
๗.      ต้องตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
๘.      ต้องสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง
๙.      ต้องสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้
๑๐. ต้องมีจุดมุ่งหมายของการสอน
๑๑. ต้องสามารถเข้าใจผู้เรียน
๑๒. ต้องคำนึงถึงภูมิหลังของผู้เรียน
๑๓. ต้องไม่ยึดวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
๑๔. การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร
๑๕. ต้องสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป
๑๖. ต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
๓.การปฏิรูปการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
คำว่า ผู้เรียนเป็นสำคัญ มาจากบทบัญญัติในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญยัติการศึกษาแห่งชาติ ที่บัญัติไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ สำหรับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้เป็นหลักการการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎี
พระราชวรมณี กล่าวว่า เด็กเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ครูต้องส้รางความใฝ่รู้ขึ้นในจิตใจของเด็ก คือ ให้มีธรรม ฉันทะ คือ ความใฝ่รู้และกัตตกัมยตาฉันทะ คือ ความใฝ่ทำ เด็กมีความสุขในการเรียนรู้ ครูสร้างบนนยากาศในโรงเรียนให้เป็น สัปปุริสสังเสวะ หมายความว่า ครูเป็นกัลยาณมิตร คือ เพื่อนที่ดี มีเมตตา ให้ความรักความอบอุ่น
ประเวศ   วะสี มองในเชิงหลักการว่า การจัดการเรียนรู้ที่เอาชีวิตจริงของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง เรียนรู้เพื่อสร้างปัญญาให้รู้จักตนเอง รู้จักโลก สามารถพึ่งตนเองได้ทั้งทางเศณษฐกิจ จิตใจ
สุมน  อมรวิวัฒน์ มีแนวคิดว่า การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีอิสระภาพ ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์ เน้นกระบวนการคิด ปฏิบัตำด้จริง สอดคล้องกับความถนัด ความสอดคล้องกับคติ สอนให้ทำ นำให้คิด ลงมือทำ
ทิศนา  แขมมณี มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีบทบาท กล่าวคือ ผู้เรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ทั้งทางร่างกาย ปัญญา สังคมและอารมณ์ ได้มีโอกาสแสวงหาความรู้ ข้อมูลคิดวิเคราะห์ และสร้างความหมายความเข้าใจในสาระและกระบวนการต่างๆ ด้วยตนเองรวมทั้งได้ลงมือปฏิบัติและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

๔.วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษา
วิธีการสอนในปัจจุบันตามแนวปฏิรูปการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม เรียกว่า วิธีการจัดการเรียนรู้ซึ่งในมาตรา ๒๒ ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ โดยมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นกรอบและทิศทางมุ่งให้เกิดความสมดุลในด้านปัญญา ความคิด และด้านอารมณ์ โดยความสามารถทางปัญญาและความคิด
การสอนแบบโครงงาน (Project Design)
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นหาความสามารถ ความถนัด และความสนใจขแงตนเองในด้านต่างๆ มาจากแนวคิดพื้นฐานในการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการเรียนรู้ตามสภาพจริง โดยมีการศึกษาหลักการ และวิธีเกี่ยวกับโครงงานที่เลือกศึกษา วิเคราะห์ วางแผนการทำงาน ลงมือทำงาน และปรับปรุง เพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์
ประโยชน์ของการจัดทำโครงงาน
๑.      ทำงานตามถนัด ความสนใจของตนเอง
๒.      ฝึกทักษะกระบวนการทำงานด้วยตนเอง หรือทำงานเป็นกลุ่ม
๓.      สามารถวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ
๔.      พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
๕.      ศึกษา ค้นคว้า และแก้ปัญหาการทำงาน
๖.      เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์
ความหมายของโครงงาน
          โครงงาน หมายถึง การกำหนดรูปแบบในการทำงานอย่างเป็นระเบียบ มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถผลิตชิ้นงาน/ผลงานที่สัมพันธ์กับหลักสูตรและนำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตจริงประเภทของโครงงาน แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ
๑.      ประเภทการศึกษาทดลอง เป็นการศึกษาเปรียบเทียบหรือพิสูจน์ความจริงตามหลักวิชาการอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือค้นหาข้อเท็จจริงในสิ่งที่ต้องการรู้
๒.      ประเภทสำรวจข้อมูล เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นๆ มาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนหรือพัฒนางาน หรือปรับปรุงงาน
๓.      ประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นการผลิตชิ้นงานใหม่ และศึกษาคุณภาพ ประสิทธิภาพและประโยชน์คุณค่าของงานชิ้นนั้นๆ
๔.      ประเภทพัฒนาผลงาน เป็นการค้นคว้าหรือพัฒนาชิ้นงานหรือสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น



บทบาทของผู้เรียนการสอนแบบโครงงาน
๑.      โครงงาน
๒.      ศึกษาข้อมูล
๓.      วิเคราะห์ข้อมูล
๔.      ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
๕.      เขียนโครงงานวางแผนการทำงาน
๖.      ปฏิบัติตามโครงงาน
๗.      ประเมินผลโครงงาน
วิธีการสอนแบบ ๔ MAT
          เป็นนวัตกรรมการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางรวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา รวมทั้งมีความสุข แนวคิดนี้มาจากเบอร์นิส  แมคคาร์ที ซึ่งได้นำผลการสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ในการศึกษาด้ารพัฒนาสมองสองซีก ได้แก่ ความสามารถของสมองซีกขวา คือ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การใช้สามัญสำนึก การคิดแบบหลากหลาย และความสามารถของสมองซีกซ้าย คือ การคิดวิเคราะห์ การคิดหาเหตุผล การคิดแบบปรนัย การคิดแบบมีทิศทาง การตอบสนองการพัฒนาศักยภาพทุกด้านของผู้เรียนที่มีรูปแบบและลักษณะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
          วิธีการสอนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
          สเปนเซอร์  คาเกน นักศึกษาชาวสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๘๕ และได้เผยแพร่ผลงานอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศแถบเอเชีย ได้นำเสนอแนวคิดหลัดที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างมีประสิทธิผลไว้ ๖ ประการดังนี้
๑.      การจัดกลุ่ม (TeamS) หมายถึง การจัดกลุ่มผู้เรียนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งควรจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มไว้ดังนี้
๑.๑ จำนวนผู้เรียนในกลุ่ม ๔ คน
๑.๒ ประกอบด้วยผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำคละกัน
๑.๓ จัดให้มีผู้เรียนทั้งชายและหญิงในกลุ่ม
๑.๔ จัดให้ผู้เรียนอยู่ในกลุ่มเดียวกันประมาณ ๖ สัปดาห์
๒.      ความมุ่งมั่น (Will) หมายถึงความมุ่งมั่นและอุดมการณ์ของผู้เรียนที่จะทำงานร่วมกันซึ่งจะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม โดยใช้วิธีการดังต่อไปนี้
๒.๑ สร้างความมุ่งมั่นของกลุ่มที่จะทำงานร่วมกัน
๒.๒ สร้างความมุ่งมั่นของชั้นเรียน
๒.๓ การทำงานร่วมกันโดยเลือกกิจกรรมที่คนเดียวไม่สามารถทำได้สำเร็จ
          ๓. การจัดการ (Management) หมายถึงการจัดกลุ่มให้สามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวมถึงการจัดการของผู้เรียนเพื่อให้การทำกิจกรรมของกลุ่มประสบผลสำเร็จเช่น
              ๓.๑ การจัดที่นั่งของนักเรียนในกลุ่ม
              ๓.๒ การแบ่งงานกันภายในกลุ่ม
             ๓.๓ การสร้างกฎของห้อง
             ๓.๔ การให้สัญญาณเงียบ
             ๓.๕ การดูแลกลุ่มไม่ให้วุ่นวาย
          ๔. ทักษะทางสังคม (Social Skills) หมายถึง การพัฒนาให้เด็กมีทักษะในการทำงานทำกิจกรรมร่วมกันให้มีการร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ
          ๕. กฎพื้นฐาน ๔ ข้อ (Basics principles) หมายถึง หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้แบบร่วมใจกันซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ๔ ประการ อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้
              ๕.๑ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
              ๕.๒ การยอมรับความสามารถซึ่งกันและกัน
              ๕.๓ ความเสมอภาค
              ๕.๔ การมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
วิธีสอนแบบบูรณาการ
เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิม-ประสบการณ์ใหม่ และเป็นประสบการณ์ตรงที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในวิชาการหลายๆแขนงในลักษณะสหวิทยาการโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการแสวงหาความรู้
วิธีการสอนแบบบูรณาการมีขั้นตอนในการสอนดังต่อไปนี้
๑.      กำหนดหัวข้อสาระการเรียนรู้
๒.      กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
๓.      กำหนดเนื้อหาของเรื่อง
๔.      กำหนดขอบเขตการเรียนรู้
๕.      ดำเนินกิจกรรม
๖.      ประเมินผล
วิธีการสอนแบบเล่าเรื่อง
คำว่าวิธีการสอนแบบเล่าเรื่องเป็นวิธีการสอนวิธีหนึ่งที่จะจัดเนื้อหาสาระแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ มาบูรณาการกัน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ใดกลุ่มสาระหนึ่งเป็นแกนเรื่อง ส่วนมากจะยึดเนื้อหาสาระสังคมศึกษาหรือวิทยาศาสตร์หรือสุขศึกษา แล้วนำกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆในหลักสูตรมาบูรณาการ มีหลักการจัดการเรียนรู้ดังนี้
๑.      สร้างหน่วยการเรียน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนใดกลุ่มสาระการเรียนหนึ่งเป็นแกนเรื่อง ด้วยการสร้างแผนผังสาระและกิจกรรม
๒.      สร้างสถานการณ์หรือเรื่องราวจากหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนต้องสมมติสถานการณ์หรือเรื่องราวขึ้น ซึ่งต้องมีองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ ฉาก ตัวละคร วิถีชีวิต เหตุการณ์และสถานการณ์ที่สนองต่อการเรียนรู้ที่คาดหวัง
๓.      การจัดการเรียนรู้ต้องจัดทำเส้นทางการดำเนินเรื่อง คำถามนำ กิจกรรม สื่อการเรียนรู้และลักษณะการเรียนโดยทำเป็นแผนการเรียนรู้
๔.      การสอนตามแผนการเรียนรู้จะแบ่งเวลาการเรียนตามเส้นทางการดำเนินเรื่อง ซึ่งอาจใช้เวลา     ๒-๓ ชั่วโมง เน้นการลงมือปฏิบัติ ความรู้จากการเรียนเป็นความรู้ที่เป็นองค์รวมและการนำสถานการณ์ไปใช้ในชีวิตจริง
วิธีการสอนแบบโครงสร้างความรู้
๑.      แผนผังความคิด (Mind mapping)
แผนผังความคิดเป็นรูปแบบที่ใชแสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ระหว่างการคิด กระบวนการคิด และความสัมพันธ์ของกระบวนการคิดตั้งแต่ต้นจนจบซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของความคิดและโครงสร้างของความคิด
๒.      ผังแสดงความสัมพันธ์แบบโครงสร้างต้นไม้
จะใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ของเรื่องที่มีความสำคัญลดหลั่นกันลงมาจากใหญ่ไปหาเล็ก รูปร่างของการเขียนจะมีโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้ที่มีกิ่งก้าน
๓.      แผนผังความคิดแบบเวนน์
เป็นแผนผังที่แสดงข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดที่หมายถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ของบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของในลักษณะต่างๆ เป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของแนวคิด ตั้งแต่ ๒ แนวคิดขึ้นไป
๔.      แผนผังความคิดแบบวงจร หรือแบบวัฏจักร
เป็นการคิดแบบวงจรที่ใชแสดงข้อมูลที่มีความสัมพนธ์กันระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ กับระยะเวลาที่มีการเรียนลำดับความเคลื่นไหว ของข้อมูลที่เป็นวัฏจักรที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง
๕.      แผนผังก้างปลา
เป็นแผนผังความคิดที่นิยมเพื่อแสดงสาเหตุ และผลต่างๆ ของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะเห็นว่า การเขียนแผนผังก้างปลา เพื่อแสดงสาเหตุของปัญหาได้ละเอียดรอบคอบครบถ้วน เหมาะสมในการนำไปใช้ในการระดมความคิดเพื่อหาสาเหตุของปัญหา ทั้งที่เป็นรายบุคลและกลุ่ม
แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพการสอน
การสอนเน้นกระบวนการกระทำหรือการจัดประสบการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างคุ้มค่า และให้ได้รับประสบการณ์ตามความคาดหวังหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ดำเนินไปตามวัตถุประสงค์ของการสอน ผู้สอนควรพิจารณาเลือกวิธีการสอนต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนนั้นๆโดยอาศัยปัจจุยต่างๆ อาทิ เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน วัย ความสามารถ ประสบการณ์ และความสำคัญ
          การประเมินประสิทธิภาพการสอน นอกจากจะใช้วิธีการเทียบเคียงกับหลักและลักษณะการสอนที่ดี อาจจะใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากความหมายของประสิทธิภาพการสอนที่หมายถึง  ผลของการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยอาศัยความสามารถในการปฏิบัติการสอนของผู้สอน หรือการดำเนินการสอน และเลือกวิธีจัดการเรียนรู้ ตลอดบุคลิก ลักษณะหรอืพฤติกรรมต่างๆ ของผู้สอนที่จะทำให้การเรียนการสอนนั้นๆ บรรลุผลสำเร็จอย่างราบรื่นตามความมุ่งหมาย ซึ่งข้อมูลในการประเมินประสิทธิภาพการสอนจาก ๔ แหล่ง คือ
๑.      ประเมินตนเอง
๒.      การสังเกตการสอนในชั้นเรียน
๓.      การประเมินโดยผู้เรียน
๔.      การประเมินจากกลุ่มเพื่อน
กิจกรรมการเรียนการสอน
กิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆ อย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีการเรียนรู้รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธี
๕.ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีทฤษฎีที่มีความเกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
๑.      ทฤษฎีการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) เป็นทฤษฎีที่มุ่งความสนใจไปที่บทบาทของผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ นักจิตวิทยาการเรียนรู้แนวคอนสตรัคติวิซึมที่มีชื่อเสียงกลุ่มนี้ได้แก่ Dewey,Piaget,Vigosky,และ Asubel เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นการพยายามเชิงสังคม เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ซึ่งเน้นความสำคัญที่การสร้างความรู้โดยกลุ่มคน ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่า ทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึมมีแนวคิดพื้นฐานดังนี้
๑.๑ ผู้เรียนสร้างระบบความเข้าใจด้วยตนเองมากกว่าการส่งผ่านหรือการถ่ายทอดจากผู้สอน
๑.๒ การเรียนรู้ใหม่สร้างบนพื้นฐานความรู้ที่ผ่านมา ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้โดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
๑.๓ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจกับแนวคิดต่างๆ และทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสประเมินความเข้าใจของตนเอง
๑.๔ การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริง สร้างเสริมให้การเรียนรู้ให้มีความหมาย การเรียนรู้ตามแนวความคิดนี้นั้นยอมรับข้อมูลที่มีอยู่เดิมและข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้น
          ๒. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavionsm) เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากพลังกระตุ้นจากภายนอกในรูปของการให้รางวัลและการลงโทษ ผู้เรียนมีบทบาทคอยรับสิ่งเร้าและมีปฏิสัมพันธ์ ส่วนผู้สอนมีบทบาทในการควบคุมและกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่คาดหมายด้วยการให้รางวัลหรือการลงโทษ
          ๓.ทฤษฎีพุทธินิยม เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจารการรับข่าวสารจัดเก็บข่าวสารและการนำข่าวสารออกมาใช้ ผู้เรียนต้องตื่นตัว ในการพัฒนากลยุทธ์ที่จะสร้างความเข้าใจอย่างมีความหมาย ส่วนผู้สอนถือเป็นผู้ร่วมกระบวนการพัฒนากลยุทธ์ และการใช้กลยุทธ์อย่างมีความหมาย
          ๔. ทฤษฎีมนุษนิยม เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดความพร้อมกับความดีที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทีอิสระที่จะนำตัวเองและพึ่งตนเองได้ มีความคอดสร้างสรรค์ที่จะทำประโยชน์ต่อสังคม มีอิสระในการเลือกทำสิ่งต่างๆ ที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ในการจัดการเรียนรู้ในทฤษฎีนี้ควรให้ผู้เรียนมีสมรรถภาพในด้านความรู้ อารมณ์ ความรู้สึก และทักษะไปพร้อมๆกัน
๖. บทบาทของผู้เกี่ยวข้องในการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา
การจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเปนสำคัญจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฝ่าย ร่วมมือกันพัฒนาและปรับปรุง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ศึกษานิเทศ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กร สถานบันวิชาการ หน่วยงานและสื่อมวลชน
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา
๑.      ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการบริหารจัดการเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้
๒.      กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาโรงเรียนไว้ในธรรมนูญของโรงเรียน มีแผนยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่ว่าด้วยแนวทางการจัดการศึกษา
๓.      ปรับปรุงการบริหารจัดการให้เอื้ออำนวยความสะดวกให้ครูผู้สอนได้มีเสรีภาพในการคิดพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ทำการวิจัยในชั้นเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระหว่างเพื่อนครู การทำงานในการผนึกกำลังของกลุ่มวิชาต่างๆ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ให้ได้มาตรฐานหลักสูตร
๔.      พัฒนาสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุด
๕.      จัดให้มีระบบนิเทศภายใน ช่วยเหลือครูในด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
บทบาทของครูผู้สอน
๑.      ปรับเปลี่ยนแนวคิดให้เอื้อต่อการปฏิรูปการเรียนรู้ เป็นตัวอย่างในการพัฒนาวินัยในตนเอง
๒.      พัฒนาตนเองอยู่เสมอให้มีความรู้และความสามารถในการปลูกฝังค่านิยมที่ดี
๓.      ออกแบบการจัดการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง
๔.      ทำวิจัยในชั้นเรียนควบคู่กับการเรียนการสอนนำผลมาพัฒนาปรับปรุง
๕.      สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทของผู้เรียน
๖.      ช่วยให้ผู้เรียนยอมรับและพัฒนาตนเอง มีความเข้าใจตนเอง ยอมรับความรู้สึกของตนเอง
๗.      ให้คำปรึกษาในด้านการเรียน การวางแผนชีวิต และแนวทางการพัฒนาตนเอง
๘.      ช่วยให้ผู้เรียนมีวุฒิภาวะ รู้จักข้อดี ข้อเสียตนเอง
๙.      กระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าเผชิญปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ
๑๐. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจลีลาการเรียนรู้ของตนเอง เข้าใจกระบวนการเรียนรู้และรู้จักวิธีการพัฒนาตนเอง
๑๑. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง ประเมินตนเองและทบทวนการปฏิบัติเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
๑๒. เป็นกัลยาณมิตรกับนักเรียน เพื่อนครู และบุคลากรในโรงเรียน
บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครอง
๑.      ปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
๒.      ให้ความรักและความอบอุ่น
๓.      ให้การอบรมเลี้ยงดู เอาใจใส่การสร้างสุขนิสัยที่ดี
๔.      เป็นตัวอย่างแก่บุตรธิดา และปลูกจิตสำนึกในเรื่องวินัยของตนเอง ความรับผิดชอบ ความปลอดภัย
๕.      สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในบ้าน
๖.      ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำและการเสริมแรง
๗.      ร่วมมือกับโรงเรียนในการให้ข้อมูลและประเมินนักเรียน
๘.      เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต
บทบาทของชุมชน
๑.      ปรับเปลี่ยนแนวคิดความเชื่อในเรื่องการปฏิรูปการศึกษา
๒.      ให้ความร่วมมือในการระดมทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้
๓.      ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในการพัฒนาสถานศึกษา
๔.      ประสานสัมพันธ์กับสถานศึกษาเพื่อสร้างบรรยากาศให้ชุมชน เป็นแหล่งการเรียนรู้พัฒนาชุมชน
๕.      ดูแลเอาใจใส่พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนในชุมชน
บทบาทของผู้เรียน
ความมุ่งหวังของการปฏิรูปการเรียนรู้ คือ ต้องการให้ผู้เรียนมีลักษณะเก่ง ดี มีความสุข ผู้เรียนจึ้งต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้จากผู้รับความรู้มาเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมในกระบวนเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ ดังนั้นบทบาทของผู้เรียนมีดังนี้
๑.      กำหนดเป้าหมายการศึกษาให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัดและความสนใจของตนเอง
๒.      มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้ปกครองและครู
๓.      รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง
๔.      ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาชีวิต
๕.      ปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ รู้วิธีการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
๖.      รู้จักประเมินตนเองและผู้อื่น
๗.      ศรัทธาต่อผู้สอน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อครูและเพื่อน

สรุป
การปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญในปัจจุบัน มุ่งเน้นการปฏิรูปการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนโดยองค์รวม ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษา จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพโดยให้มีลักษณะเป็นการเรียนรู้ที่สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ การพัฒนากระบวนการคิด การผสมผสานความรู้ การพัฒนาประชาธิปไตย เรียนรู้เรื่องภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ครอบครัวและชุมชน นอกจากนี้ยังมีการเสนอแนะประเด็นต่างๆ มากมาย ดังที่ได้นำเสนอไว้ในข้างต้น รวมทั้งทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตลอดจนบทบาทของบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาประสบผลสำเร็จ

เพิ่มเติม : โรงเรียนประชารัฐ
“โครงการประชารัฐ” เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากนโยบายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชารัฐเพื่อ เศรษฐกิจฐานราก ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการรวมพลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษาของประเทศ ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำโครงการโรงเรียนประชารัฐ และจัดทำบันทึกข้อตกลงสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ ระหว่างภาครัฐ 3 หน่วยงาน (กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ภาคเอกชน 19 หน่วยงาน และภาคประชาสังคม 4 คน เพื่อร่วมขับเคลื่อนและยกระดับการศึกษาของประเทศไทย


วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาและยกระดับการจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณลักษณะและสมรรถนะความเป็น ผู้นำในการบริหารสถานศึกษา ทั้งด้านคุณธรรม จริยธรรมและสัมฤทธิผลทางการศึกษา 2. เพื่อจัดทำและเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลที่โปร่ง ใสและตรวจสอบได้ 3. เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาระบบ ICT เพื่อการศึกษาและการบริหารจัดการสื่อ 4. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน (Active Learning, Critical Thinking) จัดทำคู่มือการจัดการเรียนการสอน และการจัดทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่เน้นพัฒนาจิตสาธารณะ เพื่อการบริการชุมชนและสังคม 5. เพื่อยกระดับความสามารถด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในสถานศึกษาสู่ระดับ นานาชาติ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น