แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒
แนวทางในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช ๒๕๔๒ในมาตรา ๔๒ ถือ ว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด
กระบวนการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้เป็นการส่งเสริมผู้เรียนให้เรียนรู้ด้วย สมอง
ด้วยกาย และด้วยใจ
สามารถสร้างองค์ความรู้ผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเองมีส่วนร่วมในการเรียนการส อน
เน้นการปฏิบัติจริง สามารถทำงานเป็นทีมได้(สมศักดิ์, ๒๕๔๓)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๔๕หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา มาตรา ๒๒ กำหนดไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้
ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” (กระทรวงศึกษาธิการ,๒๕๔๕) และตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔กำหนดหลักการ
ข้อ ๓ ซึ่งกำหนดไว้ว่า“ส่ง
เสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดย
ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ”
(กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๕)
จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ นี้
เองทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น
และการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็เป็นประเด็นสำคัญ
ประเด็นหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ (วิภาภรณ์, ๒๕๔๒)
การ จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ
วิธีการสำคัญที่สามารถสร้างและพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ
ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ความ
สำคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนในเรื่องที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของตนเองและได้พัฒนา
ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดการ
จัดการศึกษานี้เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้ ต่าง ๆ
ที่ได้พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องยาวนาน
และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะตาม
ต้องการอย่างได้ผล (วัฒนาพร ระงับทุกข์. ๒๕๔๒)
๑. หลักการพื้นฐานของแนวคิด
"ผู้เรียนเป็นสำคัญ" (ไพฑูรย์, 2549)
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้
ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งแนวคิดแบบผู้เรียนเป็นสำคัญจะยึดการศึกษาแบบก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณค่าสมควรได้รับการเชื่อถือไว้วางใจแนวทางนี้จึงเป็นแนว
ทางที่จะ ผลักดันผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพของตน
โดยส่งเสริมความคิดของผู้เรียนและอำนวยความสะดวกให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตน
เองอย่างเต็มที่การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นการ
จัดกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างจากการจัดกระบวนการเรียนรู้
แบบดั้งเดิมทั่วไป คือ
๑. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน
ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ บทบาทของครูคือผู้สนับสนุน (supporter) และเป็นแหล่งความรู้(resource person) ของ
ผู้เรียน ผู้เรียนจะรับผิดชอบตั้งแต่เลือกและวางแผนสิ่งที่ตนจะเรียน
หรือเข้าไปมีส่วนร่วมใน
การเลือกและจะเริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยการศึกษาค้นคว้า
รับผิดชอบการเรียนตลอดจนประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง
๒. เนื้อหา
วิชามีความสำคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้
ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ปัจจัยสำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย ได้แก่
เนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม และความต้องการของผู้เรียน
การเรียนรู้ที่สำคัญและมีความหมายจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่สอน (เนื้อหา)
และวิธีที่ใช้สอน(เทคนิคการสอน)
๓. การ
เรียนรู้จะประสบผลสำเร็จหากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนการสอน
ผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน
หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆได้ค้นพบข้อ
คำถามและคำตอบใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ
ประเด็นที่ท้าทายและความสามารถในเรื่องใหม่ๆที่เกิดขึ้น
รวมทั้งการบรรลุผลสำเร็จของงานที่พวกเขาริเริ่มด้วยตนเอง
๔. สัมพันธภาพประกอบดีระหว่างผู้เรียน
การมีสัมพันธภาพประกอบดีในกลุ่มจะช่วยส่งเสริมความเจริญงอกงาม
การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทำงาน และการจัดการกับชีวิตของแต่ละบุคคล
สัมพันธภาพประกอบเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันของผู้เรียน
๕. ครู
คือผู้อำนวยความสะดวกและเป็นแหล่งความรู้ในการจัดการ เรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ครูจะต้องมีความสามารถที่จะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน
เป็นแหล่งความรู้ที่ทรงคุณค่าของผู้เรียนและสามารถค้นคว้าหาสื่อวัสดุ
อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับผู้เรียน สิ่งที่สำคัญที่สุด
คือความเต็มใจของครูที่จะช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไข ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญ
ความรู้ เจตคติ และการฝึกฝน โดยผู้เรียนมีอิสระที่จะรับหรือไม่รับการให้นั้นก็ได้
๖. ผู้
เรียนมีโอกาสเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างจากเดิม
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
มุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างออกไป
ผู้เรียนจะมีความมั่นใจในตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น
สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากขึ้น
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆ
มากขึ้น
๗.
การศึกษาคือการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลายๆ ด้านพร้อมกันไป
การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นจุดเริ่มของการพัฒนาผู้เรียนหลายๆ
ด้าน เช่น คุณลักษณะด้านความรู้ความคิด
ด้านการปฏิบัติและด้านอารมณ์ความรู้สึกจะได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กัน เมื่อรู้ว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีดีและเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้
ดังนั้น พวกเราครูมืออาชีพก็ควรศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง ผลที่ได้คือ
ผลิตผลที่ดีนักเรียนมีความรู้ ดี เก่งและมีสุข
ตามเจตนารมย์ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ (สิริพร, ๒๕๔๙)
ปัญหาหลักของกระบวนการเรียนการสอนในปัจจุบัน
คือ การที่ครูใช้วิธีการสอนแบบ “ปูพรม” โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
ที่มีความสามารถในการรับรู้ที่แตกต่างกัน (สุมณฑา, ๒๕๔๔ : ๒๗) การเรียนการสอนไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาคุณลักษณะ “มองกว้าง
คิดไกล ใฝ่ดี” แต่ เน้นการท่องจำเพื่อสอบมากกว่าที่จะสอนให้
คิดเป็น วิเคราะห์ได้สามารถหาความรู้ได้ด้วยตนเองทำให้ผู้เรียนมีลักษณะผู้เรียนรู้
ไม่เป็น ปัญหาเหล่านี้นับว่าเป็นความล้มเหลวของการจัดการศึกษาที่ต้องแก้ไขโดยเร่ง
ด่วน (จิราภรณ์, ๒๕๔๑)
๒. ความหมายการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆอย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิก
ที่ดีของสังคมของประเทศชาติต่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน
จึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้ รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธีซึ่งจำแนกได้ดังนี้(คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้, ๒๕๔๓)
๑. การ จัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่
การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหาแบบ สร้างแผนผังความคิดแบบใช้กรณีศึกษา
แบบตั้งคำถามแบบใช้การตัดสินใจ
๒. เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่
วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
๓. เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ
ประกอบการเรียน เช่น การใช้สิ่งพิมพ์ ตำราเรียน
และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียนชุดการสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสำเร็จรูป
๔.
เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแก้ปัญหา กลุ่มติว การประชุมต่างๆ การแสดงบทบาทสมมติ
กลุ่มสืบค้นคู่คิดการฝึกปฏิบัติ เป็นต้น
๕. เทคนิค การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์เช่น
การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลองละคร
กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลอง ละคร บทบาท สมมติ
๖. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น
กลุ่มเรียนรู้ ร่วมกัน ร่วมกันคิด กลุ่มร่วมมือ
๗. เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่
การเรียนการสอนแบบใช้เว้นเล่าเรื่อง (Story line) และการเรียนการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem-Solving)
เทคนิค วิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
ได้คิดค้นคว้าศึกษาทดลอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผู้สอนจึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในหลายๆ ลักษณะ ดังนี้ (ชาติแจ่มนุช และคณะ,
มทป)
๑. เป็นผู้จัดการ (Manager) เป็น ผู้กำหนดบทบาทให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนเข้าร่วมทำกิจกรรมแบ่งกลุ่ม
หรือจับคู่ เป็นผู้มอบหมายงานหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ นักเรียนทุกคน
จัดการให้ทุกคนได้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของตน
๒. เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรม (An
active participant) เข้าร่วมทำกิจกรรมในกลุ่มจริงๆ
พร้อมทั้งให้ความคิดและความเห็นหรือเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวของนักเรียนขณะทำกิจกรรม
๓. เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper
and resource)
คอยให้คำตอบเมื่อนักเรียนต้องการความช่วยเหลือทางวิชาการ ตัวอย่าง เช่น
คำศัพท์หรือไวยากรณ์การให้ข้อมูลหรือความรู้ในขณะที่นักเรียนต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
๔. เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter
and encourager)
ช่วยสนับสนุนด้านสื่ออุปกรณ์หรือให้คำแนะนำที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมหรือฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
๕. เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (Monitor) คอย ตรวจสอบงานที่นักเรียนผลิตขึ้นมาก่นที่จะส่งต่อไปให้นักเรียนผลิตขึ้นมาก่อน
ที่จะส่งต่อไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความถูกต้องของคำศัพท์
ไวยากรณ์ การแก้คำผิด อาจจะทำได้ทั้งก่อนทำกิจกรรม
หรือบางกิจกรรมอาจจะแก้ในภายหลังได้
๓.องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542 มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง ดี
และมีความสุข ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายประการได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ
ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑. การบริหารจัดการ
การบริหารจัดการนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่สำคัญ
โดยเฉพาะการบริหารจัดการของโรงเรียนที่เน้นการพัฒนาทั้งระบบของโรงเรียน การพัฒนาทั้งระบบของโรงเรียน
หมายถึง การดำเนินงานในทุกองค์ประกอบของโรงเรียนให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ
คุณภาพของนักเรียนตามวิสัยทัศน์ที่โรงเรียนกำหนด
ดังนั้นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงการพัฒนาทั้งระบบของโรงเรียนประกอบด้วย
๑.๑
การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาที่มีจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพนักเรียนอย่างชัดเจน
๑.๒ การกำหนดแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกับเป้าหมาย
๑.๓
การกำหนดแผนการดำเนินงานในทุกองค์ประกอบของโรงเรียนสอดคล้องกับเป้าหมายและเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์
๑.๔
การจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายใน
๑.๕
การจัดทำรายงานประจำปีเพื่อรายงานผู้เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับแนวทางการประกันคุณภาพจากภายนอก
อย่างไรก็ตาม
การดำเนินงานของโรงเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ เน้นถึงการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน
ดังนั้น ในการดำเนินการของโรงเรียนจึงเปิดโอกาส
ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่
ร่วมในการกำหนดเป้าหมายและการจัดทำแผนยุทธศาสตร์
ร่วมในการสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ร่วมในการประเมินผล เป็นต้น
๒. การจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบด้าน “การจัดการเรียนรู้” นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่แสดงถึงการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม
ประกอบด้วย ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ บทบาทของครู
และบทบาทของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นสำคัญจะทำได้สำเร็จเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน
ได้แก่ ครู และผู้เรียน มีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับความหมายของการเรียนรู้ ดังสาระที่
ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๔) ได้กล่าวไว้ดังนี้
๒.๑
การเรียนรู้เป็นงานเฉพาะบุคคล ทำแทนกันไม่ได้
ครูที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้มีประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง
.๒
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ต้องมีการใช้กระบวนการคิด สร้างความเข้าใจ
ความหมายของสิ่งต่างๆ
ดังนั้นครูจึงควรกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ
๒.๓
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม เพราะในเรื่องเดียวกัน อาจคิดได้หลายแง่
หลายมุมทำให้เกิดการขยาย เติมเต็มข้อความรู้ ตรวจสอบความถูกต้องของการเรียนรู้ตามที่สังคมยอมรับด้วย
ดังนั้นครูที่ปรารถนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่นหรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ
๒.๔
การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบาน
เพราะหลุดพ้นจากความไม่รู้ นำไปสู่ความใฝ่รู้ อยากรู้อีก เพราะเป็นเรื่องน่าสนุก
ครูจึงควรสร้างภาวะที่กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้หรือคับข้องใจบ้าง
ผู้เรียนจะหาคำตอบเพื่อให้หลุดพ้นจากความข้องใจ
และเกิดความสุขขึ้นจากการได้เรียนรู้ เมื่อพบคำตอบด้วยตนเอง
๒.๕
การ เรียนรู้เป็นงานต่อเนื่องตลอดชีวิต ขยายพรมแดนความรู้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ครูจึงควรสร้างกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความรู้ไม่รู้จบ
๒.๖
การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลง
เพราะได้รู้มากขึ้นทำให้เกิดการนำความรู้ไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
เป็นการพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับรู้ผลการพัฒนาของตัวเขาเองด้วย
จากความหมายของการเรียนรู้ที่กล่าวมา
ครูจึงต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้
(๑) ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน
(๒) การเน้นความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
(๓) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน
(๔) การจัดกิจกรรมให้น่าสนใจ
ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย
(๕) ความเมตตากรุณาต่อผู้เรียน
(๖) การท้าทายให้ผู้เรียนอยากรู้
(๗)
การตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
(๘)
การสร้างบรรยากาศหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง
(๙) การสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้
(๑๐) การมีจุดมุ่งหมายของการสอน
(๑๑) ความเข้าใจผู้เรียน
(๑๒) ภูมิหลังของผู้เรียน
(๑๓) การไม่ยึดวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้น
(๑๔) การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร (dynamic) กล่าวคือ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งในด้านการจัดกิจกรรม
การสร้างบรรยากาศ รูปแบบเนื้อหาสาระ เทคนิค วิธีการ
(๑๕) การสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป
(๑๖) การวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
๓. การเรียนรู้ของผู้เรียน
องค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญและนับว่าเป็นเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
คือ
องค์ประกอบด้านการเรียนรู้ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมที่เน้นเนื้อหาสาระเป็นสำคัญ
และสอดคล้องกับองค์ประกอบด้านการจัดการเรียนรู้
ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ก็เพื่อเน้นให้มีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้น
ตัวบ่งชี้ที่บอกถึงลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วย
๓.๑ การเรียนรู้อย่างมีความสุข
อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
คำนึงถึงการทำงานของสมองที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของผู้เรียน
ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่ต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ
บรรยากาศของการเอื้ออาทรและเป็นมิตร ตลอดจนแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
นำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
๓.๒ การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง
หรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่งคือ “เรียนด้วยสมองและสองมือ”
เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด
ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคำถามก็ตาม
และได้ลงมือปฏิบัติจริงซึ่งเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญคือ การแก้ปัญหา ความมีเหตุผล
๓.๓ การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
และเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น
เป้าหมายสำคัญด้านหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ
ผู้เรียนแสวงหาความรู้ที่หลากหลายทั้งในและนอกโรงเรียน ทั้งที่เป็นเอกสาร วัสดุ
สถานที่ สถานประกอบการ บุคคลซึ่งประกอบด้วย เพื่อน กลุ่มเพื่อน วิทยากร
หรือผู้เป็นภูมิปัญญาของชุมชน
๓.๔ การเรียนรู้แบบองค์รวมหรือบูรณาการ
เป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ ได้สัดส่วนกัน
รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ความดีงาม
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชาที่จัดให้เรียนรู้
๓.๕ การ เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจของผู้จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญว่า
ทุกคนเรียนรู้ได้และเป้าหมายที่สำคัญคือ
พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรสังเกตและศึกษาธรรมชาติของการเรียนรู้ของผู้เรียน
ว่าถนัดที่จะเรียนรู้แบบใดมากที่สุด
ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการเรียน
รู้ด้วยตนเอง (ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดอีกครั้งในการเรียนรู้โดยโครงงาน)
การสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
ผู้เรียนจะได้รับการฝึกด้านการจัดการแล้วยังฝึกด้านสมาธิ ความมีวินัยในตนเอง
และการรู้จักตนเองมากขึ้น
เมื่อครูจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลแล้ว
และมีความประสงค์จะตรวจสอบว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือไม่
ครูสามารถตรวจสอบด้วยตนเอง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานด้านกระบวนการ มาตรฐานที่ ๑๘ ซึ่งมีตัวบ่งชี้ดังต่อไปนี้
๑. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย
เหมาะสมกับธรรมชาติและสนองความต้องการของผู้เรียน
๒.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์
คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ
๓.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาหาความรู้
แสวงหาคำตอบและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
๔. มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น
เทคโนโลยีและสื่อที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
๕.
มีการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกและส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของผู้เรียน
๖. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสุนทรียภาพอย่างครบถ้วน
ทั้งด้านดนตรี ศิลปะและกีฬา
๗. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
การทำงานร่วมกับผู้อื่นและความรับผิดชอบต่อกลุ่มร่วมกัน
๘.
มีการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการหลากหลายและต่อเนื่อง
๙. มีการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนรักสถานศึกษาของตนและมีความกระตือรือร้นในการไปเรียน
สรุปว่า
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ
การจัดการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง
ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เกิดความเข้าใจ
และสามารถนำความรู้ไปบูรณาการใช้ในชีวิตประจำวัน
และมีคุณสมบัติตามกับเป้าหมายของการจัดการศึกษาที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง
คนดี และมีความสุข
๔.เทคนิคการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative
Learning)
๑)
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้
สเปนเซอร์ เคแกน (Spenser Kagan, ๑๙๙๔) นักการศึกษาชาวสหรัฐ
ได้ทำการวิจัยและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. ๑๙๘๕ และ ได้เผยแพร่ผลงานอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา
รวมถึงหลายประเทศในเอเซีย แนวคิดหลักที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วย ๖ ประการ ดังนี้
๑) Teams หมายถึง
การจัดกลุ่มของผู้เรียนที่จะทำงานร่วมกัน
กลุ่มที่จะเรียนรู้ด้วยกันอย่างมีประสิทธิผล ควรเป็นดังนี้
๑.๑)
กลุ่มละ ๔ คน ประกอบด้วยเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูง ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ
และหญิงชายเท่า ๆ กันในบางกรณีการจัดกลุ่มโดยวิธีอื่น เช่น
ในการศึกษาเรื่องลึกเฉพาะ เช่น ทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ควรจัดกลุ่มเด็กที่มีความสนใจเหมือนกัน หรือจัดกลุ่มโดยวิธีสุ่ม
เมื่อต้องการทบทวนความรู้
๑.๒)
จัดให้เด็กอยู่ในกลุ่มเดียวกันประมาณ ๖ สัปดาห์แล้วเปลี่ยนจัดกลุ่มใหม่
๒) Will หมาย ถึง
ความมุ่งมั่นและอุดมการณ์ของเด็กที่จะร่วมงานกัน
เด็กจะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม ต่าง ๆ
ร่วมกัน สิ่งเหล่านี้ต้องสร้างให้เกิดขึ้นและให้คงไว้โดยให้ทำกิจกรรมหลากหลาย
โดยวิธีการต่อไปนี้
๒.๑)
Team
building การสร้างความมุ่งมั่นของทีมที่จะทำงานร่วมกัน
๒.๒)
Class
building การสร้างความมุ่งมั่นของชั้นเรียนที่จะช่วยกัน
๓) Management หมาย ถึง
การจัดการเพื่อให้กลุ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งการจัดการของผู้สอนและการจัดการของผู้เรียนภายในกลุ่ม ผู้สอนจะต้องมีการจัดการที่ดี
เพื่อให้การทำงานกลุ่มประสบผลสำเร็จ เช่น การควบคุมเวลา
การกำหนดสัญญาณให้ผู้เรียนหยุดกิจกรรม ฯลฯ
๔) Social Skills เป็นทักษะในการทำงานร่วมกัน
มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ให้ความช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
๕) Four Basic Principles (PIES) เป็นหลักการพื้นฐานของ Cooperative
Learning ซึ่งจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ได้แก่
P
= Positive Interdependence ผู้
เรียนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
โดยมีแนวคิดที่ว่าเมื่อเราได้รับประโยชน์จากเพื่อน เพื่อนก็จะได้รับประโยชน์จากเรา
ความสำเร็จของกลุ่มคือความสำเร็จของแต่ละคน
I
= Individual Accountability ยอมรับว่าแต่ละคนในกลุ่มต่าง
ๆ มีความสามารถและมีความสำคัญต่อกลุ่ม แต่ละคนมีส่วนให้การทำงานในกลุ่มสำเร็จ
E
= Equal Participation ทุกคนในกลุ่มต้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในงานของกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน
S
= Simultaneous Interaction ทุกคนในกลุ่มต้องมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลาที่ทำงานในกลุ่ม
๖) Structures หมายถึง
รูปแบบของกิจกรรมในการทำงานกลุ่ม
ซึ่งมีหลากหลายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาหรือสถานการณ์ที่จะศึกษา Kagan ได้วิจัยและเสนอไว้หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
Time
– Pair – Share เป็นกิจกรรมจับคู่สลับกันพูดในหัวข้อและในเวลาที่กำหนด
เช่น คนละ ๑ นาที เมื่อคนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งฟัง แล้วสลับกัน
Round
Robin ผู้เรียนในกลุ่มทั้ง ๔ คน
ผลัดกันพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนครบทุกคน
Round
Table ผู้
เรียนแต่ละคนในกลุ่มเขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในกระดาษแผ่น
เดียวกันแล้ววนไปเรื่อย ๆ จนผู้เรียนทุกคนเขียนทั้งหมด แล้วนำมาสรุป
Team
– Pair – Solo เป็น
กิจกรรมที่ให้แต่ละคนในกลุ่มคิดแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งก่อน
จากนั้นเปลี่ยนเป็นรวมกันคิดเป็นคู่ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้แบบการแก้ปัญหา
ในที่สุดแต่ละคนสามารถแก้ปัญหาทำนองเดียวกันได้
นอกจากรูปแบบกิจกรรมของ Kagan
แล้วก็ยังมีรูปแบบกิจกรรมของคนอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น
เทคนิคจิกซอ
(Jigsaw) เป็น เทคนิคที่ใช้กับบทเรียนที่หัวข้อที่เรียน แบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้
เช่น ประเภทของมลพิษ สามารถแบ่งเป็น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง มลพิษทางน้ำ
มลพิษของดิน เป็นต้น ควรเรียนแบ่งเป็นขั้นตอน ดังนี้
๑) ผู้สอนแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย ๆ
ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
๒) จัดกลุ่มผู้เรียน โดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่ม
เป็นกลุ่มบ้าน (home group)
สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น
โดยใช้เวลาตามที่ผู้สอนกำหนด
๓)
จากนั้นผู้เรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทำงาน ซักถาม
และทำกิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มเชี่ยวชาญ (expert group) สมาชิกทุก ๆ
คนร่วมมือกันอภิปรายหรือทำงานอย่างเท่าเทียมกันโดยใช้เวลาตามที่ผู้สอนกำหนด
๔) ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
กลับมายังกลุ่มบ้าน (home group) ของตน
จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อย ๑,๒,๓ และ ๔ เป็นต้น
๕) ทำการทดสอบหัวข้อย่อย ๑-๔ กับผู้เรียนทั้งห้อง
คะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ
CIPPA
MODEL รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง :
โมเดลซิปปา (Cippa Model) หรือ รูปแบบการประสานห้าแนวคิด
ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา แขมมณี
รองศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า ๓๐ ปี
และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา
จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่
แนวคิดการสร้างความรู้ แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้
แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้
เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบ ทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม โดยหลักการของโมเดลซิปปา
ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด
มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้
ความคิดเห็นและประสบการณ์ ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ
ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้
ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด Constructivism
(ทิศนา แขมมณี, ๒๕๔๒ )
ความหมายของ
CIPPA
C
มาจากคำว่า Construct หมายถึง
การสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructiviism กล่าว คือ
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจ
เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายแก่ตนเอง และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา
I
มาจากคำว่า Interaction หมาย ถึง
การช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับ บุคคล
และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้รู้จักกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้
ความคิดประสบการณ์ แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนทางสังคม
P
มาจากคำว่า Physical Participation หมาย ถึง
การช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย
ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ
ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย
P
มาจากคำว่า Process Learning หมาย ถึง
การเรียนรู้ กระบวนการ ต่างๆ ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ
ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
A
มาจากคำว่า Application การ
นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน
เป็นการช่วยผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสังคม และชีวิตประจำวัน
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆจากแนวคิดในการ
จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของทิศนา แขมมณี (2542)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักของโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL)
ซึ่งได้รูปแบบการเรียนการสอนซึ่งสามารถประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
มีขั้นตอนสำคัญดังนี้
๑.ขั้น ทบทวนความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่เรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน
มีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
๒. ขั้น แสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูล ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มีจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
ซี่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
๓. ขั้นการ ศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่
และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนเผชิญปัญหา
และทำความเข้าใจกับข้อมูล ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล ประสบการณ์ใหม่ๆ
โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่นใช้กระบวนการคิด
และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปผลความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น
ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงความรู้เดิม
มีการตรวจสอบความเข้าใจต่อตนเองหรือกลุ่ม โดยครูใช้สื่อและย้ำมโนมติในการเรียนรู้
๔. ขั้น การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือ
ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเอง รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่นและได้
รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆกัน
๕. ขั้น การสรุปและจัดระเบียบความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่
และจัดสิ่งที่เรียนรู้ให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
๖. ขั้น การแสดงผลงาน
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้แสดงผลงานการสร้างความรู้
ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนตอกย้ำ หรือตรวจสอบ
เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
๗. ขั้น ประยุกต์ใช้ความรู้
ขั้นนี้เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้
ความเข้าใจของตนเองไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ
ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ
รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบโฟร์แมทซิสเต็ม (๔ MAT’S Learning)
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้
แมคคาร์ธี (Mc Carthy) ได้พัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ ๔ MAT
นี้ โดยได้รับอิทธิพลแนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ของคอล์ม (Kolb) ที่เสนอแนวความคิดเรื่องรูปแบบการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ ๒ มิติ คือ การรับรู้ (perception) และกระบวนการจัดการข้อมูล
(processing) การรับรู้ของบุคคลอาจเป็นประสบการณ์ตรง
อาจเป็นความคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม ส่วน
กระบวนการจัดกระทำกับข้อมูลคือการลงมือปฏิบัติ ในขณะที่บางคนเรียนรู้โดยผ่านการสังเกต
และนำข้อมูลนั้นมาคิดอย่างไตร่ตรอง แมคคาร์ธีแบ่งผู้เรียนออกเป็น ๔ แบบ คือ ๑)
ผู้เรียนที่ถนัดการเรียนรู้โดยจินตนาการ (Imaginative Learners) ๒) ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้มโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม
นำกระบวนการสังเกตอย่างไตร่ตรอง หรือเรียกว่าผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (Analytic
Learners) ๓)
ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้มโนทัศน์แล้วผ่านกระบวนการลงมือทำหรือที่เรียกว่าผู้เรียนที่ถนัดการใช้สามัญสำนึก
(Commonsense Learners) และ ๔)
ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและนำสู่
ลักษณะการพัฒนารูปแบบแมคคาร์ธี
และคณะ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น, ๒๕๔๒) ได้นำแนวคิดของคอล์ม มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานของสมองทั้ง
2๒ซีก ทำให้เกิดเป็นแนวคิดทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้คำถามหลัก ๔ คำถาม
กับผู้เรียน 4 แบบ คือ
- ผู้เรียนแบบที่ ๑ (Imaginative Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรม
ผ่านกระบวนการจัดข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง
เขาจะเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับประสบการณ์เดิมของตนเองได้อย่างดี การเรียนแบบร่วมมือ
การอภิปรายและการทำงานกลุ่มจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนกลุ่มนี้
คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือ “ทำไม” (Why ?)
- ผู้เรียนแบบที่ ๒ (Analytic
Learners) คือ
ผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะสามารถเรียนรู้ความคิดรวบยอดที่
เป็นนามธรรมได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความรู้ที่เป็นทฤษฎี รูปแบบ
และความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การอ่าน การค้นคว้าข้อมูลจากตำราหรือเอกสารต่าง ๆ
รวมทั้งการเรียนรู้แบบบรรยาย จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเหล่านี้
คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ “อะไร” (What ?)
- ผู้เรียนแบบที่ ๓ (Commonsense
Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถ/มี
ความถนัดในการรับรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมแล้วนำสู่การลงมือปฏิบัติ
เขาให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้ ความก้าวหน้า และการทดลองปฏิบัติ
กิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติและกิจกรรมการแก้ปัญหาจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้
ของผู้เรียนในกลุ่มนี้ คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ “อย่างไร” (How ?)
- ผู้เรียนแบบที่ ๔ (Dynamic
Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการเรียนรู้
ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมแล้วนำสู่การลงปฏิบัติ
เขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นการสำรวจ ค้นคว้า การค้นพบด้วยตนเอง แล้วเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นไปสู่การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ “ถ้า” (If ?)
จากลักษณะของผู้เรียนทั้ง ๔ แบบดังกล่าวข้างต้น Morris
และ Mc Cathy ได้
นำมาเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ
โฟร์แม็ทซิสเต็ม
โดยจัดขั้นตอนการสอนให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาอย่างเต็ม
ที่เป็นการพัฒนาพหุปัญหาทั้ง ๘ ด้าน
สอนโดยให้ฝึกและปฏิบัติ ( Drill
and practice)
ความหมาย Drill คือการการทำซ้ำหรือแบบฝึกหัดเพื่อพัฒนาทักษะ
skill
Practice
คือ การปฏิบัติจริงที่ได้เรียนมา
ซึ่งการปฏิบัติย่อยๆก็จะเป็นการปฏิบัติซ้ำๆ
จุดมุ่งหมาย
๑.เพื่อให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติงาน
๒.เพื่อให้ลงมือกระทำจริง
๓.เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
บทบาทของครู
๑.
วิเคราะห์สิ่งที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเกิดทักษะในสิ่งนั้นว่าจะต้องฝึกทักษะส่วนไหนบ้างและต่อเนื่องกันอย่างไร
๒.
ทำการวัดพฤติกรรมก่อนการเรียนทักษะนั้นๆว่าผู้เรียนมีทักษะพื้นฐานเพียงพอหรือยัง
๓.
จักขั้นตอนการฝึกทักษะให้เป็นไปตามลำดับขั้นจากง่ายไปหายากหรือพื้นฐานไปสู้สลับซับซ้อน
๔.
อธิบายและสาธิตการปฏิบัติงานในการฝึกทักษะต่างๆให้ผู้เรียนได้ดู
๕. ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง
โดยฝึกหัดอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกับให้รู้ผลสำเร็จของการฝึกหัดด้วย
๖.
พยายามกระตุ้นและส่งเสริมให้กำลังใจในการฝึกปฏิบัติของผู้เรียนให้มากๆ
๗. พยายามใช้กระบวนการกลุ่มของผู้เรียนให้มากๆ
๘. จัดทำใบความรู้-ใบงานในเรื่องที่นักเรียนจะต้องฝึกและปฏิบัติ
๙.
จัดทำเครื่องมือวัดและประเมินผลการฝึกและการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนในการสอน
๑. ขั้นนำให้เกิดความเข้าใจและแรงจูงใจ เป็น
การให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนทางด้านทักษะนั้นๆ
ครูเสนอแนะสิ่งที่จะต้องฝึกและปฏิบัติ อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจในวิธีการฝึกและปฏิบัติจากใบความรู้
๒. ขั้นฝึกและปฏิบัติ
เป็นขั้นของการฝึกหัดเพื่อให้เกิดทักษะ หรือเพื่อลดความผิดพลาดในกรทำงานให้น้อยลง
จนกระทั้งหมดไปในที่สุด โดยฝึกและปฏิบัติจากใบความรู้ใบงาน
๓.ขั้นนำไปใช้ เป็นขั้นของการเกิดทักษะ
ซึ่งสามารถทำสิ่งนั้นๆได้อย่างอัตโนมัติจากการฝึกและปฏิบัติมาแล้ว
๔. ขั้นประเมินผล
เป็นขั้นตอนที่ต้องการทราบความก้าวหน้าของการฝึกและปฏิบัติใบงานหรือทักษะนั้น ๆ
ตลอดจนความรู้ทางวิชาการ เจตคติและคุณลักษณะส่วนตัวของผู้เรียน
ข้อดี
๑. ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน
๒. การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการทำจริงและประสบการณ์ตรง
๓. เรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดี
๔.
สามารถถ่ายทอดการเรียนรู้ไปใช้สถานการณ์เช่นเดียวกันได้ดี
๕. ดีมากสำหรับการพัฒนาด้านทักษะ
๖. ผู้เรียนมีจุดม่งหมายที่แน่นอน
๗.
การทำกิจกรรมการเรียนโดยการฝึกและปฏิบัติอาจดำเนินโดยผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มเล็ก
ๆ ก็ได้
๘.
ผู้สอนมีเวลาที่จะให้ความช่วยเหลือและการสอนแก่ผู้เรียนทึต้องการความช่วยเหลือผู้เรียนอาจศึกษากิจกรรม
วิธีปฏิบัติจากสื่อที่สามารถเรียนด้วยตนเองได้
ข้อจำกัด
๑.ใช้เวลามาก
๒. นำไปสู่ความน่าเบื่อ
นอกจากจะมีแรงจูงใจสูงและมีจุดหมายที่แน่นอน
๓. ไม่ช่วยเหลือให้นักเรียนเข้าใจจุดม่งหมายใหม่ ๆ
๔. ผู้เขียนบางคนเรียนเพียง Drill
แต่ไม่เรียนรู้ถึงคุณค่า
๕. การทำซ้ำๆอย่างไม่มีความหมาย
อาจเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ
๖. กรณีที่ให้ปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม ๆ
สมาชิกบางคนอาจหลีกเลี่ยงการปฏิบัติงาน
แนวคิดของการสอนแบบพัฒนาความสามารถเฉพาะ
การสอนแบบ TU เป็นรูปแบบการสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาความสามารถเฉพาะของผู้เรียนแต่ละคน
ซึ่งมีความสามารถที่แตกต่างกันเฉพาะบุคคล
เป็นวิธีสอนที่ช่วยดึงความสามารถเฉพาะของบุคคลนั้น ๆ
ออกมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน มุ่งให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในทักษะที่ตนเองมีความถนัดและมีความสามารถในด้านนั้น
ๆ การสอนแบบ TU มุ่งพัฒนาทักษะ ๕ ประการ คือ
๑. การคิดอย่างมีผล (porductive
Thinking)
ทักษะการคิดเพื่อให้ได้ผลออกมานั้นเป็นการฝึกให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่หลากหลาย
ใช้ความสามารถในการคิดอย่างเต็มที่ โดยไม่มีขีดจำกัด เช่น คิดหาคำนามให้มากที่สุด
คิดหาสิ่งแปลกหรือผิดปกติตามแนวคิดของตนเองคิดหาวิธีแก้ปัญหา
๒. การสื่อสาร (communication) ทักษะการสื่อสารนี้ต้องการให้ผู้เรียนใช้ทักษะการฟัง
การพูดแสดงความรู้สึก กิริยาท่าทาง เพื่อสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจได้
นอกเหนือจากสื่ออื่น ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ
มุ่งให้ผู้เรียนสามารถอธิบายหรือแสดงความรู้จักเปรียบเทียบ
บ่งบอกค่านิยมที่บุคคลต่าง ๆ มีตามลักษณะบุคลิกเฉพาะบุคคลคนนั้น
๓. การเดาเหตุการณ์หรือการพยากรณ์ (Forcasting) เป็นกระบวนการที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนในการศึกษาสาเหตุและผลที่ควรจะเกิดขึ้น
ทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดหลากหลาย และฝึกการใช้เหตุผลตามสถานการณ์ที่กำหนดให้
๔. การวางแผน (planning)
เป็นการพัฒนาผู้เรียน ให้ผู้เรียนพิจารณาถึงรายละเอียดความจำเป็นต่าง ๆ ในการจัดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบผลสำเร็จ
ฝึกการทำงานอย่างมีระบบมีแบบแผนที่ดีก่อนจะมีการปฏิบัติจริง
๕. การตัดสินใจ (Decision Maklng) เป็นอีกทักษะหนึ่งที่รูปแบบ TU มุ่งพัฒนาผู้เรียนทางด้านการตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
ให้ผู้เรียนสามารถลำดับความสำคัญ ความจำเป็นของสิ่งต่าง ๆ
ที่นำมาประกอบการตัดสินใจเพื่อให้การตัดสินใจนั้นดีที่สุด
บทบาทของครูในชั้นเรียนเมื่อใช้รูปแบบ TU
การใช้การสอนแบบ TU ในชั้นเรียนนั้น
ครูผู้สอนจะต้องมีทักษะพื้นฐานต่าง ๆ ดังนี้
๑. ความรู้เรื่องจิตวิทยาพัฒนาการของเด็ก กล่าวคือ
ครูผู้สอนต้องมีความรู้
ความเข้าใจในภาวะความเจริญเติบโตของเด็กในแต่ละช่วงอายุของเด็กทีตนเองกอาลังสอนอยู่
๒. มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
๓. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
๔. มีการวางแผนที่ดี
๕. มีความรู้ในการใชึ่สอการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
๖. มีความรู้เรื่องการจัดการห้องเรียนให้เหมาะสมกับสภาพและเนื้อหาที่สอน
ลำดับขั้นการสอนแบบ TU
๑. สร้างแรงจูงใจ (Motivatlon) ครูผู้สอนอาจจะทบทวนพฤติกรรมการสอนที่ตนเองต้องการจะสอน เช่น
ทบทวนพฤติกรรมการสื่อสาร การตัดสินใจ การวางแผน
ซึ่งอาจถือว่าเป็นการนำเข้าสู่บทเรียนอีกวิธีหนึ่ง
๒. ครูบรรยาย (Teacher Talk) ครูผู้สอนจะเป็นผู้บรรยายเพื่อกำหนดสถานการณ์ในขั้นนี้ว่าจุดประสงค์ของกิจกรรมคืออะไร
วิธีการจะเป็นอย่างไร จะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้เป็นไปตามเนื้อหาและจุดประสงค์ที่
ต้องการจะสอน
๓. การตอบสนองของเด็ก (students Response) ครูผู้สอนต้องคาดหวังถึงการตอบสนองของเด็กว่าต้องการให้เด็กตอบสนองกิจกรรมในลักษณะใด
เพื่อเตรียมอุปกรณ์ในการรับการสอบสนองนั้น เช่น คาดหวังว่าเด็กจะตอบสนองเป็นคำต่าง
ๆ ครูก็ควรเตรียมแผ่นชาร์ตเพื่อเขียนคำเหล่านั้น
๔. ให้การเสริมแรง (Relnforcement) เมื่อนักเรียนตอบสนองกิจกรรมได้ตามความคาดหวัง ครูต้องให้กำลังใจ เช่น
คำชม รางวัล หรือให้แลกเปลี่ยนงานซึ่งกันและกัน
๕. การเชื่อมต่อ (Extenslon) ครูผู้สอนอาจให้นักเรียนทำกิจกรรมอื่นเพื่อเชื่อมต่อกิจกรรมที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อเป็นการทบทวนหรือย้ำความคิดอีกครั้ง
เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกวิธีสอน เนื่องจากวิธีสอนมีหลายวิธี
ทุกวิธีมีประโยชน์ในการนำมาใช้สอนทั้งสิ้น
ข้อสำคัญในการนำมาใช้ต้องเลือกให้เหมาะสมจึงจะได้ผล
การเลือกวิธีสอนจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญูของการสอนผู้ใช้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนมีดังนี้
๑. วิธีสอนที่นำมาใช้ เหมาะสมกับความสามารถ
ความรู้ในเนื้อหาวิชา และความสนใจของครู วิธีใดก็ตามถ้าคูรเห็นว่านำมาใช้ได้ผล
คูรมีความพอใจในการที่นำมาใช้ก็ควรใช้วิธีนั้นถ้าครูยังไม่มั่นใจ ไม่รู้สึกสนุก
มองไม่เห็นแนวทางที่ดีพอ ก็ไม่ควรนำวิธีนั้นมาใช้สอน เพราะจะไม่เกิดผลดีทั้งนักเรียนและครู
และจะทำให้นักเรียนเสื่อมศรัทฑในครูผู้สอนไปด้วย
๒.
วิธีสอนที่ครูพิจารณาเลือกมาใช้นั้นต้องเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน
วิธีสอนบางวิธีเหมาะกับเด็กบางวัยเท่านั้น ครูจะต้องพิจารณาดูว่า
วิธีสอนที่ครูพิจารณาเลือกมาใช้สอนเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะของเด็กที่ครูจะสอนหรือไม่
เช่น วิธีสอนแบบบรรยายนาน ๆ ไม่เหมาะกับเด็กชั้นประถม เป็นต้น
๓. วิธีสอนที่นำมาใช้
ต้องพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอน เช่น
ครูกำหนดจุดประสงค์ให้นักเรียนสามารถทำงานเป็นกลุ่มไดู้ รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน
ครูควรใช้วิธีสอนแบบแก้ปัญหา ควรจะต้องพิจารณาลักษณะวิชา แต่ละตอนของเนื้อหาวิชา
มุ่งให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือทักษะพิสัย
ครูต้องพิจารณาเลือกวิธีสอนต่าง ๆ ให้เหมาะสม
ในอันที่จะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดควรจะกำหนดจุดประสงค์ไว้ดีเลิศเพียงใดก็ตาม
ถ้าครูไม่มีวิธีการที่ดีในการที่จะให้บรรลุจุดประสงค์
จุดประสงค์ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
วิธีสอนจึงเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะให้บรรลุตามจุดประสงค์
๔.
วิธีสอนต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหาวันเวลา และสถานที่ทีจะใช้สอนเช่น วิธีสอนที่ต้องใช้เวลามาก
แต่คูรมีเวลาจำกัดก็ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้
หรือควรจะใช้วิธีสอนแบบสาธิตแต่สถานที่สอนไม่เหมาะ
นักเรียนไม่สามารถมองเห็นการสาธิตได้อย่างทั่วถึง วิธีสอนแบบสาธิต ไม่ เหมาะ
๕.
เลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม นักเรียนจะเรียนได้ผลดีจากอุปกรณ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
หาได้ง่าย การสำรวจค้นหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียนและชุมชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ครูต้องพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ
ให้เกิดผลการเรียนรู้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกให้นักเรียนสนใจและสังเกตสิ่งแวดล้อมของตนยิ่งขึ้นด้วย
(สุวัฒน์ มุทธเมธา. ๒๕๒๓ : ๒๑ ๙-๒๒๑ )
๕.การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า
การจัดการศึกษามีเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การจัดการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งด้านความต้องการ ความสนใจ ความถนัด
และยังมีทักษะพื้นฐานอันเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการเรียนรู้ อันได้แก่
ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน ความสามารถทางสมอง ระดับสติปัญญา
และการแสดงผลของการเรียยรู้ออกมาในลักษณะที่ต่างกัน
จึงควรมีการจัดการที่เหมาะสมในลักษณะที่แตกต่างกัน
ตามเหตุปัจจัยของผู้เรียนแต่ะละคน และผู้ที่มีบทบาทในกลไกของการจัดการนี้คือ ครู
แต่จากข้อมูลอันเป็นปัญหาวิกฤติทางการศึกษา และวิกฤติของผู้เรียนที่ผ่านมา
แสดงให้เห็นว่า ครูยังแสดงบทบาทและทำหน้าที่ของตนเองไม่เหมาะสม
จึงต้องทบทวนทำความเข้าใจ
ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการศึกษาและวิกฤติของผู้เรียนต่อไป
การทบทวนบทบาทครู ควรเริ่มจากการทบทวนและปรับแต่งความคิด
ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของการเรียน โดยต้องถือว่า
แก่นแท้ของการเรียนคือการเรียนรู้ของผู้เรียน ต้องเปลี่ยนจากการยึดวิชาเป็นตัวตั้ง
มาเป็นยึดมนุษย์หรือผู้เรียนเป็นตัวตั้ง หรือที่เรียกว่า ผู้เรียนเป็นสำคัญครูต้องคำนึงถึงหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ
ถ้าจะเปรียบการทำงานของครูกับแพทย์คงไม่ต่างกันมากนัก
แพทย์มีหน้าที่บำบัดรักษาอาการป่วยไข้ของผู้ป่วย ด้วยการวิเคราะห์
วินิจฉัยอาการของผู้ป่วยแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน แล้วจัดการบำบัดด้วยการใช้ยาหรือการปฏิบัติอื่นๆ
ที่แตกต่างกัน วิธีการรักษาแบบหนึ่งแบบใดคงจะใช้บำบัดรักษาผู้ป่วยทุกคนเหมือนๆ
กันไม่ได้นอกจากจะมีอาการป่วยแบบเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน
ครูก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจและศึกษาให้รู้ข้อมูล
อันเป็นความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน และหาวิธีสอนที่เหมาะสม
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่
เพื่อพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนนั้นให้บรรลุถึงศักยภาพสูงสุดที่มีอยู่
และจากข้อมูลที่เป็นวิกฤติทางการศึกษา และวิกฤติของผู้เรียนอีกประการหนึ่ง คือ
การจัดการศึกษาที่มาส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติในชีวิตจริง
ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ที่ไม่ยั่งยืน
ครูจึงต้องหันมาทบทวนบทบาทและหน้าที่ที่จะต้องแก้ไข โดยตระหนักว่า
คุณค่าของการเรียนรู้คือการได้นำสิ่งที่เรียนรู้มานั้นไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย
ดังนั้นหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงมีสาระที่จำเป็น ๒
ประกาคือ การจัดการโดยคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
และการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ศักยภาพสูงสุดที่แต่ละคนจะมีส่วนเทคนิค
วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จะได้กล่าวในตอนต่อไป
แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๒
ถือว่าเป็นความพยายามที่จำทำการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญ
ซึ่งดำเนินการจัดขึ้นด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง
ฝ่ายข้าราชการ ครู อาจารย์ บุคคลที่เกี่ยวข้องตลอดจนประชาชน องค์กร และสถาบันต่างๆ
มีการศึกษาปัญหา ประมวลองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภานนอกประเทศ มีการระดมผู้รู้
นักปราชญ์มาช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างเป้าหมายของการศึกษาไทย
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือแก้ปัญหาทางการศึกษา
และถือได้ว่าเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการปฏิรูปการศึกษา
การปฏิรูปการเรียนรู้
ความหมายของการปฏิรูปการเรียนรู้มีนักวิชาการศึกษา
สถาบันทางการศึกษาได้ให้ความหมาย ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๗ : ๓)
การปฏิรูปการเรียนรู้ คือ การปรับความคิด
เปลี่ยนวิธีสอนที่จะนำไปสู่การจัดการเรียนรู้ที่แท้จริง
และพัฒนาไปสู่มนุษย์ที่สมบูรณ์ ส่วน ประเวศ วะสี (๒๕๔๕ : ก)
หัวใจของการปฏิรูปการศึกษา คือ การปฏิรูปการเรียนรู้ หัวใจของการเรียนรู้ คือ
การปฏิรูป จากการยึดวิชาเป็นตัวตั้งมาเป็นยึดมนุษย์หรือผู้เรียนเป็นตัวตั้งหรือที่เรียกว่า
ผู้เรียนสำคัญที่สุด สอดคล้องกับแนวความคิดของพิมพันธ์ เดชะคุปต์
(กองส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน. ๒๕๕๕ : อ้างอิงจาก พิมพันธ์ เดชะคุปต์. ๒๕๕๐)
ที่ว่า
แนวการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่และสิ่งประดิษฐ์ใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา(กระบวนการคิด)
กระบวนการทางสังคม (กระบวนการกลุ่ม)
และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการเรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญต้องจัดให้สอดคล้องกับความสนใจ
ความสามารถและความถนัดเน้นการบูรณาการความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ
ใช้หลากหลายวิธีการสอนหลากหลายแหล่งความรู้สามารถพัฒนาปัญญาอย่างหลากหลายคือ
พหุปัญญา รวมทั้งเน้นการวัดผลอย่างหลากหลายวิธี
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๔๕และ(ฉบับที่๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้บัญญัติแนวทางการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่า
ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หรือผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
การจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นระบบหรือรูปแบบใด ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม
และกระบวนการเรียนรู้สาระของการปฏิรูปการเรียนรู้ได้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ และ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. 2553
ดังนี้
หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา
สาระในหมวดนี้ครอบคลุมหลักการจัดการศึกษา
สาระและกระบวนการจัดการศึกษาที่เปิดกว้างให้แนวทางการีส่วนร่วมสร้างสรรค์
วิสัยทัศน์ ทางการเรียนการสอน ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน
สาระที่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนการสอน ตั้งแต่มาตรา ๒๒ ถึง ๓๐ ดังนี้
มาตรา ๒๒: หลักการจัดการศึกษา
ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
มาตรา ๒๓: สาระการเรียนรู้เน้นความสำคัญทั้งความรู้
คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม
ของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม
ตลอดจนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการการบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อย่างสมดุลยั่งยืน ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย
และการประยุกต์ใช้ รวมทั้งเรื่องการจัดการด้านความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์
และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
มีทักษะในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
มาตรา ๒๕: กระบวนการจัดการเรียนรู้
ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดย
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ
การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มา ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น
รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม
ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ
สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และ
อำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย
เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา ๒๕:
บทบาทรัฐในการส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ
อย่างพอเพียง และมีประสิทธิภาพ
มาตรา ๒๖: ประเมินผู้เรียน
พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน
การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
ให้ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ
และให้นำผลการประเมินผู้เรียนใช้ประกอบการพิจารณา
มาตรา ๒๗- ๒๘:
การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาแต่ละระดับให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดหลักสูตรแกนกลาง
และให้สถานศึกษาจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น
คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม
และประเทศชาติ
มาตรา ๒๙: บทบาทของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน
เพื่อให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่าง ๆ
รวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ พัฒนาระหว่างชุมชน
มาตรา ๓๐: การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสากับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา
จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ สรุปได้ว่า
การปฏิรูปการเรียนรู้ เป็นการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม
บูรณาการการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับความต้องการของนักเรียน ชุมชน
และสังคม ปฏิรูปการสอนของครูโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายวิธี
ประเมินผลที่เน้นการประเมินในสภาพที่แท้จริง มีสื่อการเรียนรู้การที่หลากหลายตามความเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้
เน้นการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาสอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน
และส่งเสริมการเรียนรู้การพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ และเต็มความสามารถ
http://www.vcharkarn.com/vcafe/220320
เนื้อหาเพิ่มเติม : ปฏิรูปการศึกษาไทย
เพชร เหมือนพันธุ์
การปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยไปโดยที่ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะแก้ปัญหาความตก ต่ำของคุณภาพการศึกษาไทย ย่อมมีหายนะรออยู่ข้างหน้า สารพัดเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ นำมาแก้ปัญหาการศึกษาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ STEM หรือ ปตอ. (ประกาศนียบัตรเตรียมอาชีวศึกษาในระดับมัธยมศึกษา) ก็เปรียบเสมือนกับการปะผุอุดรอยรั่วของท้องเรือเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลเข้า ท้องเรือทำให้จมลงไปใต้น้ำได้เท่านั้น
เวลาที่สูญเสียไปคือต้นทุนของประเทศ โลกยุคนี้กำลังเผชิญอยู่กับการแข่งขันทั้งทางการค้าและทางเทคโนโลยี โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุค New Digital World ไปแล้ว บัดนี้ประเทศที่เคยตามหลังเรามาห่างๆ กำลังจะแซงขึ้นหน้าประเทศเราอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เราได้อัดฉีดงบประมาณทุ่มเทลงไปอย่างมากมาย แต่ก็ไม่ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นได้ อาการป่วยยังคงซึมลึก ดูได้จากผลการสอบ PISA คราวล่าสุด แล้วจะให้ผู้ปกครองนักเรียนหรือชาวบ้านที่ไม่มีทางเลือก ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจในอนาคตของบุตรหลานของเขาได้อย่างไร
ในสามก๊ก อ้องอุ้น เมื่อกำจัด ตั๋งโต๊ะ ได้แล้ว ก็ได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นอุปราช เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาไม่เชื่อคำแนะนำของ ตันก๋ง สหายคนสนิท ที่เสนอให้โอกาสแก่ ลิฉุย กุยกี ลูกน้องเก่าของตั๋งโต๊ะ ที่ได้ทำหนังสือมาเพื่อขอมอบตัว กลับตัดสินใจผิดพลาด สั่งให้แม่ทัพชื่อ ลิโป้ ลุยหวังเผด็จศึก จนทำให้ศัตรูที่จนตรอกเหลือทางรอดทางเดียวคือหันกลับมาสู้บุกยึดเมืองหลวง คืน ในที่สุดก็ต่อต้านศัตรูที่บุกมาไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้แล้วถูกทหารข้าศึกรุมประชาทัณฑ์จนตายในที่สุด บทเรียนในครั้งนั้นคือ การวางแผนนโยบายที่ผิดพลาด "เดินหมากผิดแค่ตัวเดียวทำให้เสียทั้งกระดาน"
การปฏิรูปการศึกษาไทยจะต้องปฏิรูปทั้งระบบ ต้องกล้าหาญและวางแผนวางนโยบายให้ถูกต้อง แม้จะต้องรื้อทั้งระบบก็ต้องยอม จะมามัวนั่งปะผุรอยรั่วของเก่าอยู่อย่างทุกวันนี้ไม่ได้ ต้องมีทฤษฎีอ้างอิง มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือมารองรับ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในอดีตที่ผ่านมามันล้าสมัยไปหมดแล้ว ระบบเก่าๆ เปื่อยผุพังไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่โรงเรียนขังนักเรียน ทั้งวันอยู่ในห้อง การวัดผลการเรียน การสอบ Gat Pat การสอบ O-Net, A-Net การสอบแก้ 0 ร. มส. การให้ผ่านโดยไม่มีการเรียนซ้ำชั้น หรือการประเมิน ผลงานของครู มันคือระบบเก่าที่เละที่สุด
บทความฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอให้ท่านนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตัดสินใจทำการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ Action Research โดยส่งนักวิจัยหรือครู ไปศึกษาวิจัยในประเทศที่จัดการศึกษาประสบผลสำเร็จ ใน 5 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ เป็นต้น ในบทความฉบับนี้อยากเสนอท่านนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เลือกทำวิจัยแบบ Case study research model หรือแบบ Mix model ก็ได้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท ซึ่งไม่มากมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เราต้องสูญเสียไป ส่วนเค้าโครงการวิจัยท่านต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจัดทำนำเสนอให้ตรงกับประเด็น ปัญหา การวิจัยอาจใช้เวลาถึงหนึ่งปี การแก้ปัญหาที่ผ่านมาเราใช้เพียงการวิเคราะห์ ปัญหาและหาทางเลือกอย่างตื้นเขิน (Shallow Analyses) ใช้เพียงสามัญสำนึก หรือคิดเอาเอง จึงแก้ปัญหาไม่ถูกจุด คุณภาพการศึกษาไทยจึงได้ดัมพ์หัวต่ำลงไปเรื่อยๆ
ปัจจุบัน เรามีตัวอย่างสถาบันการศึกษาที่ทันสมัยเป็น Modern School ให้เห็น ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ เช่น โรงเรียนนานาชาติที่ประสบผลสำเร็จในหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเอเชียของ ดร.วิพรรธ์ เริงวิทยา ที่ชลบุรี ท่านนำรูปแบบการจัดการโรงเรียนมาจากอังกฤษ Imperial College ห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียนบรรจุอยู่เพียงห้องละ 15 คน เด็กนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการเรียน วัฒนธรรมองค์กรภายในโรงเรียนมีความแตกต่างจากโรงเรียนในแบบไทยๆ อย่างมาก หรืออีกตัวอย่าง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ต้นแบบวิทยาศาสตร์ ที่มีคะแนน PISA ใกล้เคียงกับประเทศชั้นนำในระดับโลก มีหลายประเทศในโลกที่เขาจัดเวลาเรียนเพียงครึ่งวันแต่คุณภาพการศึกษาของเขา กลับสูงขึ้น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่น
เด็กยุคใหม่เกิดมาพร้อมกับ Digital การพัฒนาตนเอง การเรียน การลงทุนใช้ระยะเวลาสั้นๆ กิจกรรมการเรียนบางรายวิชาก็เป็นแบบ on line learning คุณสมบัติพื้นฐานของคนในยุคนี้จึงต้องเป็นวัฒนธรรมสากล มีจรรยาบรรณสากล เช่น มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน สู้งาน หิวกระหายที่จะใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสืบค้นหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถในการสื่อสารภาษาสากล มีความเข้าใจผู้อื่นและทำงานร่วมมือกับคนอื่นได้ มีทักษะที่จำเป็นในอนาคต มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะไปพัฒนาตนเองต่อไปได้
รัฐบาลต้องปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาในทุกระดับโดยเร่งด่วน ต้องจัดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับทักษะที่ใช้ในชีวิต ประจำวัน และต้องให้สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของ ผู้เรียน เด็กที่จบหลักสูตรในแต่ละระดับต้องสามารถนำความรู้ทักษะประสบการณ์ไปประกอบ อาชีพเลี้ยงตัวเองได้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนากับช่างก่อสร้าง เขาบอกว่าเขาเรียนจบชั้น ป.6 ไม่มีเงินเรียนต่อ พ่อแม่มีลูกหลายคน จึงตามญาติลงมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ แรกเริ่มก็ช่วยงานขนหินปูนทราย เดินเหล็กผูกเหล็ก หิ้วถังปูน ต่อมาก็เป็นช่างเชื่อมเหล็ก ปักผังตั้งแบบวางเสา พัฒนาตนเองมาเรื่อยๆ จนอ่านแบบเป็น สั่งวัสดุได้ รับเหมางานเป็น แล้วก็พัฒนาตนเองมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นเจ้าของกิจการ ผู้เขียนถามช่างว่า ความรู้ที่ได้มาจากการเรียนจบชั้น ป.6 ได้นำมาใช้บ้างหรือไม่ เขาตอบว่าก็สามารถนำมาใช้อ่านรายการต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษได้บ้าง ความรู้ทางคณิตศาสตร์ก็สามารถนำมาคิดคำนวณหาต้นทุนกำไรได้ นำมาทำบัญชีรับจ่ายง่ายๆ ได้ มีความเข้าใจในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองแบบทั่วไป
เด็กที่เรียนจบเพียงชั้น ม.3 ไม่สามารถเรียนต่อก็ออกทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองช่วยพ่อแม่ได้ เด็กเหล่านี้มีบางคนขณะเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมักไม่ค่อยสนใจ เรียน เพราะเขารู้ตัวเองว่าถึงจะตั้งใจเรียนดีอย่างไรก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียน ต่อในระดับที่สูงขึ้น เด็กจึงกังวลถึงแต่เรื่องจะออกไปหาเงินเลี้ยงชีวิต หรือไม่บางคนก็เกเรไปเลย ถามว่าหลักสูตรการศึกษาไทยได้เตรียมสอนทักษะในการทำมาหากินให้เด็กในระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้เพียงพอหรือไม่ ในหลายประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา สิงคโปร์ เด็กที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองได้ เด็ก ที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.6 เด็กไทยทางโรงเรียนได้สอนทักษะอะไรบ้างเพื่อให้เขาสามารถนำความรู้ในระดับ ชั้น ม.ปลายมาประกอบอาชีพได้ ในหลายประเทศเด็กขณะที่เรียนอยู่ได้ออกมาทำงาน พาร์ตไทม์ หาเงินใช้ส่วนตัวได้ เช่น ที่สิงคโปร์ เยอรมนี ญี่ปุ่น เป็นต้น บางคนออกจากระบบโรงเรียนเพื่อประกอบอาชีพได้เลย ถามว่าระบบการศึกษาไทยได้มีหลักสูตรวิชาชีพให้เด็กในแต่ละระดับชั้นเพียงพอ หรือไม่
เด็กไทยที่เรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำงานอิสระ เป็นผู้ประกอบการเองได้หรือไม่ หรือรอเพื่อจะสอบบรรจุเป็นพนักงานลูกจ้างรายเดือนไปตลอดชีวิตได้เท่า นั้น หลักสูตรแต่ละระดับต้องให้ความรู้ทักษะทางด้านประกอบอาชีพ ผ่านการฝึกปฏิบัติงานในภาคสนาม มีทักษะในทางการเงินการบัญชี มีความกล้าท้าทายที่จะเป็นผู้ประกอบการเองได้ หลักสูตรที่ผ่านมาทักษะที่สำคัญในชีวิต ทางโรงเรียนกลับไม่ได้สอน เรียนจบมาแล้วต้องไปค้นหาเอาเอง ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาไทยต้องปฏิรูปทั้งระบบจึงจะไปรอด
เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปกับเพื่อนชาว Bosnia ที่ สปป.ลาว นครเวียงจันทน์ ได้ไปเยี่ยมสำนักงานของเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของลาว อายุ 20 ปีปลาย-30 ปีต้นๆ ที่เปิดกิจการร้านเกมกระดาน (Board Game) เป็นธุรกิจแบบ ช่วยเหลือสังคม (Social Entrepreneur) เจ้าของกิจการเป็นเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของลาว เรียนจบการศึกษามาจากออสเตรเลีย 2 คน อเมริกา 1 คน เปิดร้านเกมกระดาน (Board Game) พวกเขามีวัตถุประสงค์เพื่อนำระบบเกมกระดานเข้าสู่สังคมของคนรุ่นใหม่ของลาว และเพื่อธุรกิจด้วย มีกลุ่มเยาวชนลาวที่เล่นเกมอยู่ในวันนั้นประมาณ 20 คน ส่วนหนึ่งเป็นเด็กที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัยของลาว มาจากโรงเรียนพรสวรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำของลาว มาจากโรงเรียนนานาชาติในลาว และมีบางส่วนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาแล้ว ในร้านไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เกมกระดาน (Board Game) จะช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ การวางแผน การเจรจาต่อรอง การตัดสินใจ การศึกษาพฤติกรรมของคน เป็นการแข่งขันเพื่อชนะและเพื่อความร่วมมือ เป็นกิจกรรมที่จะช่วยดึงเด็กออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ หน้าจอทีวี ช่วยให้คนในสังคมได้หันหน้าเข้าหากันได้พบปะพูดคุยสนทนา หรือทำให้คนในครอบครัวได้หันหน้าเข้ามาพูดคุยกัน เขาจะพยายามนำเกมกระดานเหล่านี้เข้าสู่สถาบันการศึกษาของลาว โดยจะนำเข้าไปในลักษณะเปิดเป็นชุมนุม (Club) เป็นชมรมของนักเรียนนักศึกษา แล้วขยายไปทั่วประเทศ ผู้เขียนถามว่าเกมกระดานมีคนเล่นในประเทศลาวอยู่มากเพียงใด ได้รับคำตอบว่า ขณะนี้มีกลุ่มคนในลาวที่สนใจเล่นอยู่ 2 กลุ่ม คือกลุ่มของเขาเองนี้กลุ่มหนึ่ง และกลุ่มฝรั่งนานาชาติ (Expat) ที่อยู่ในเวียงจันทน์อีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนในประเทศไทย เกมกระดาน (Board Game) มีห้างหุ้นส่วนแรกที่นำเข้ามาเปิดกิจการในเมืองไทยจนได้รับใบอนุญาตถูกต้อง ตั้งอยู่แถวสุขุมวิท พระโขนง BTS ขณะนี้ได้เผยแพร่นำเข้าสู่สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยไทยบ้างแล้ว และได้ขยายกิจการไปยังพม่า เขมร และลาว ในอนาคตเกมกระดานจะเข้าไปสู่สถานศึกษาในรูปแบบของชมรม สมาคม สโมสร มีการจัดการแข่งขันเพื่อหาแชมป์ในระดับโลก เกมกระดาน (Board Game) จะช่วยยกระดับการรู้จักคิดวิเคราะห์ให้กับเด็กได้มากกว่าที่จะให้ครูสอนให้ เด็กรู้จักคิดเป็น
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=47674&Key=news_research
เนื้อหาเพิ่มเติม : ปฏิรูปการศึกษาไทย
เพชร เหมือนพันธุ์
การปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยไปโดยที่ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะแก้ปัญหาความตก ต่ำของคุณภาพการศึกษาไทย ย่อมมีหายนะรออยู่ข้างหน้า สารพัดเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ นำมาแก้ปัญหาการศึกษาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ STEM หรือ ปตอ. (ประกาศนียบัตรเตรียมอาชีวศึกษาในระดับมัธยมศึกษา) ก็เปรียบเสมือนกับการปะผุอุดรอยรั่วของท้องเรือเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลเข้า ท้องเรือทำให้จมลงไปใต้น้ำได้เท่านั้น
เวลาที่สูญเสียไปคือต้นทุนของประเทศ โลกยุคนี้กำลังเผชิญอยู่กับการแข่งขันทั้งทางการค้าและทางเทคโนโลยี โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุค New Digital World ไปแล้ว บัดนี้ประเทศที่เคยตามหลังเรามาห่างๆ กำลังจะแซงขึ้นหน้าประเทศเราอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เราได้อัดฉีดงบประมาณทุ่มเทลงไปอย่างมากมาย แต่ก็ไม่ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นได้ อาการป่วยยังคงซึมลึก ดูได้จากผลการสอบ PISA คราวล่าสุด แล้วจะให้ผู้ปกครองนักเรียนหรือชาวบ้านที่ไม่มีทางเลือก ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจในอนาคตของบุตรหลานของเขาได้อย่างไร
ในสามก๊ก อ้องอุ้น เมื่อกำจัด ตั๋งโต๊ะ ได้แล้ว ก็ได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นอุปราช เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาไม่เชื่อคำแนะนำของ ตันก๋ง สหายคนสนิท ที่เสนอให้โอกาสแก่ ลิฉุย กุยกี ลูกน้องเก่าของตั๋งโต๊ะ ที่ได้ทำหนังสือมาเพื่อขอมอบตัว กลับตัดสินใจผิดพลาด สั่งให้แม่ทัพชื่อ ลิโป้ ลุยหวังเผด็จศึก จนทำให้ศัตรูที่จนตรอกเหลือทางรอดทางเดียวคือหันกลับมาสู้บุกยึดเมืองหลวง คืน ในที่สุดก็ต่อต้านศัตรูที่บุกมาไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้แล้วถูกทหารข้าศึกรุมประชาทัณฑ์จนตายในที่สุด บทเรียนในครั้งนั้นคือ การวางแผนนโยบายที่ผิดพลาด "เดินหมากผิดแค่ตัวเดียวทำให้เสียทั้งกระดาน"
การปฏิรูปการศึกษาไทยจะต้องปฏิรูปทั้งระบบ ต้องกล้าหาญและวางแผนวางนโยบายให้ถูกต้อง แม้จะต้องรื้อทั้งระบบก็ต้องยอม จะมามัวนั่งปะผุรอยรั่วของเก่าอยู่อย่างทุกวันนี้ไม่ได้ ต้องมีทฤษฎีอ้างอิง มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือมารองรับ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในอดีตที่ผ่านมามันล้าสมัยไปหมดแล้ว ระบบเก่าๆ เปื่อยผุพังไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่โรงเรียนขังนักเรียน ทั้งวันอยู่ในห้อง การวัดผลการเรียน การสอบ Gat Pat การสอบ O-Net, A-Net การสอบแก้ 0 ร. มส. การให้ผ่านโดยไม่มีการเรียนซ้ำชั้น หรือการประเมิน ผลงานของครู มันคือระบบเก่าที่เละที่สุด
บทความฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอให้ท่านนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตัดสินใจทำการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ Action Research โดยส่งนักวิจัยหรือครู ไปศึกษาวิจัยในประเทศที่จัดการศึกษาประสบผลสำเร็จ ใน 5 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ เป็นต้น ในบทความฉบับนี้อยากเสนอท่านนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เลือกทำวิจัยแบบ Case study research model หรือแบบ Mix model ก็ได้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท ซึ่งไม่มากมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เราต้องสูญเสียไป ส่วนเค้าโครงการวิจัยท่านต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจัดทำนำเสนอให้ตรงกับประเด็น ปัญหา การวิจัยอาจใช้เวลาถึงหนึ่งปี การแก้ปัญหาที่ผ่านมาเราใช้เพียงการวิเคราะห์ ปัญหาและหาทางเลือกอย่างตื้นเขิน (Shallow Analyses) ใช้เพียงสามัญสำนึก หรือคิดเอาเอง จึงแก้ปัญหาไม่ถูกจุด คุณภาพการศึกษาไทยจึงได้ดัมพ์หัวต่ำลงไปเรื่อยๆ
ปัจจุบัน เรามีตัวอย่างสถาบันการศึกษาที่ทันสมัยเป็น Modern School ให้เห็น ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ เช่น โรงเรียนนานาชาติที่ประสบผลสำเร็จในหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเอเชียของ ดร.วิพรรธ์ เริงวิทยา ที่ชลบุรี ท่านนำรูปแบบการจัดการโรงเรียนมาจากอังกฤษ Imperial College ห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียนบรรจุอยู่เพียงห้องละ 15 คน เด็กนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการเรียน วัฒนธรรมองค์กรภายในโรงเรียนมีความแตกต่างจากโรงเรียนในแบบไทยๆ อย่างมาก หรืออีกตัวอย่าง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ต้นแบบวิทยาศาสตร์ ที่มีคะแนน PISA ใกล้เคียงกับประเทศชั้นนำในระดับโลก มีหลายประเทศในโลกที่เขาจัดเวลาเรียนเพียงครึ่งวันแต่คุณภาพการศึกษาของเขา กลับสูงขึ้น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่น
เด็กยุคใหม่เกิดมาพร้อมกับ Digital การพัฒนาตนเอง การเรียน การลงทุนใช้ระยะเวลาสั้นๆ กิจกรรมการเรียนบางรายวิชาก็เป็นแบบ on line learning คุณสมบัติพื้นฐานของคนในยุคนี้จึงต้องเป็นวัฒนธรรมสากล มีจรรยาบรรณสากล เช่น มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน สู้งาน หิวกระหายที่จะใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสืบค้นหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถในการสื่อสารภาษาสากล มีความเข้าใจผู้อื่นและทำงานร่วมมือกับคนอื่นได้ มีทักษะที่จำเป็นในอนาคต มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะไปพัฒนาตนเองต่อไปได้
รัฐบาลต้องปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาในทุกระดับโดยเร่งด่วน ต้องจัดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับทักษะที่ใช้ในชีวิต ประจำวัน และต้องให้สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของ ผู้เรียน เด็กที่จบหลักสูตรในแต่ละระดับต้องสามารถนำความรู้ทักษะประสบการณ์ไปประกอบ อาชีพเลี้ยงตัวเองได้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนากับช่างก่อสร้าง เขาบอกว่าเขาเรียนจบชั้น ป.6 ไม่มีเงินเรียนต่อ พ่อแม่มีลูกหลายคน จึงตามญาติลงมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ แรกเริ่มก็ช่วยงานขนหินปูนทราย เดินเหล็กผูกเหล็ก หิ้วถังปูน ต่อมาก็เป็นช่างเชื่อมเหล็ก ปักผังตั้งแบบวางเสา พัฒนาตนเองมาเรื่อยๆ จนอ่านแบบเป็น สั่งวัสดุได้ รับเหมางานเป็น แล้วก็พัฒนาตนเองมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นเจ้าของกิจการ ผู้เขียนถามช่างว่า ความรู้ที่ได้มาจากการเรียนจบชั้น ป.6 ได้นำมาใช้บ้างหรือไม่ เขาตอบว่าก็สามารถนำมาใช้อ่านรายการต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษได้บ้าง ความรู้ทางคณิตศาสตร์ก็สามารถนำมาคิดคำนวณหาต้นทุนกำไรได้ นำมาทำบัญชีรับจ่ายง่ายๆ ได้ มีความเข้าใจในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองแบบทั่วไป
เด็กที่เรียนจบเพียงชั้น ม.3 ไม่สามารถเรียนต่อก็ออกทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองช่วยพ่อแม่ได้ เด็กเหล่านี้มีบางคนขณะเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมักไม่ค่อยสนใจ เรียน เพราะเขารู้ตัวเองว่าถึงจะตั้งใจเรียนดีอย่างไรก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียน ต่อในระดับที่สูงขึ้น เด็กจึงกังวลถึงแต่เรื่องจะออกไปหาเงินเลี้ยงชีวิต หรือไม่บางคนก็เกเรไปเลย ถามว่าหลักสูตรการศึกษาไทยได้เตรียมสอนทักษะในการทำมาหากินให้เด็กในระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้เพียงพอหรือไม่ ในหลายประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา สิงคโปร์ เด็กที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองได้ เด็ก ที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.6 เด็กไทยทางโรงเรียนได้สอนทักษะอะไรบ้างเพื่อให้เขาสามารถนำความรู้ในระดับ ชั้น ม.ปลายมาประกอบอาชีพได้ ในหลายประเทศเด็กขณะที่เรียนอยู่ได้ออกมาทำงาน พาร์ตไทม์ หาเงินใช้ส่วนตัวได้ เช่น ที่สิงคโปร์ เยอรมนี ญี่ปุ่น เป็นต้น บางคนออกจากระบบโรงเรียนเพื่อประกอบอาชีพได้เลย ถามว่าระบบการศึกษาไทยได้มีหลักสูตรวิชาชีพให้เด็กในแต่ละระดับชั้นเพียงพอ หรือไม่
เด็กไทยที่เรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำงานอิสระ เป็นผู้ประกอบการเองได้หรือไม่ หรือรอเพื่อจะสอบบรรจุเป็นพนักงานลูกจ้างรายเดือนไปตลอดชีวิตได้เท่า นั้น หลักสูตรแต่ละระดับต้องให้ความรู้ทักษะทางด้านประกอบอาชีพ ผ่านการฝึกปฏิบัติงานในภาคสนาม มีทักษะในทางการเงินการบัญชี มีความกล้าท้าทายที่จะเป็นผู้ประกอบการเองได้ หลักสูตรที่ผ่านมาทักษะที่สำคัญในชีวิต ทางโรงเรียนกลับไม่ได้สอน เรียนจบมาแล้วต้องไปค้นหาเอาเอง ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาไทยต้องปฏิรูปทั้งระบบจึงจะไปรอด
เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปกับเพื่อนชาว Bosnia ที่ สปป.ลาว นครเวียงจันทน์ ได้ไปเยี่ยมสำนักงานของเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของลาว อายุ 20 ปีปลาย-30 ปีต้นๆ ที่เปิดกิจการร้านเกมกระดาน (Board Game) เป็นธุรกิจแบบ ช่วยเหลือสังคม (Social Entrepreneur) เจ้าของกิจการเป็นเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของลาว เรียนจบการศึกษามาจากออสเตรเลีย 2 คน อเมริกา 1 คน เปิดร้านเกมกระดาน (Board Game) พวกเขามีวัตถุประสงค์เพื่อนำระบบเกมกระดานเข้าสู่สังคมของคนรุ่นใหม่ของลาว และเพื่อธุรกิจด้วย มีกลุ่มเยาวชนลาวที่เล่นเกมอยู่ในวันนั้นประมาณ 20 คน ส่วนหนึ่งเป็นเด็กที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัยของลาว มาจากโรงเรียนพรสวรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำของลาว มาจากโรงเรียนนานาชาติในลาว และมีบางส่วนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาแล้ว ในร้านไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เกมกระดาน (Board Game) จะช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ การวางแผน การเจรจาต่อรอง การตัดสินใจ การศึกษาพฤติกรรมของคน เป็นการแข่งขันเพื่อชนะและเพื่อความร่วมมือ เป็นกิจกรรมที่จะช่วยดึงเด็กออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ หน้าจอทีวี ช่วยให้คนในสังคมได้หันหน้าเข้าหากันได้พบปะพูดคุยสนทนา หรือทำให้คนในครอบครัวได้หันหน้าเข้ามาพูดคุยกัน เขาจะพยายามนำเกมกระดานเหล่านี้เข้าสู่สถาบันการศึกษาของลาว โดยจะนำเข้าไปในลักษณะเปิดเป็นชุมนุม (Club) เป็นชมรมของนักเรียนนักศึกษา แล้วขยายไปทั่วประเทศ ผู้เขียนถามว่าเกมกระดานมีคนเล่นในประเทศลาวอยู่มากเพียงใด ได้รับคำตอบว่า ขณะนี้มีกลุ่มคนในลาวที่สนใจเล่นอยู่ 2 กลุ่ม คือกลุ่มของเขาเองนี้กลุ่มหนึ่ง และกลุ่มฝรั่งนานาชาติ (Expat) ที่อยู่ในเวียงจันทน์อีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนในประเทศไทย เกมกระดาน (Board Game) มีห้างหุ้นส่วนแรกที่นำเข้ามาเปิดกิจการในเมืองไทยจนได้รับใบอนุญาตถูกต้อง ตั้งอยู่แถวสุขุมวิท พระโขนง BTS ขณะนี้ได้เผยแพร่นำเข้าสู่สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยไทยบ้างแล้ว และได้ขยายกิจการไปยังพม่า เขมร และลาว ในอนาคตเกมกระดานจะเข้าไปสู่สถานศึกษาในรูปแบบของชมรม สมาคม สโมสร มีการจัดการแข่งขันเพื่อหาแชมป์ในระดับโลก เกมกระดาน (Board Game) จะช่วยยกระดับการรู้จักคิดวิเคราะห์ให้กับเด็กได้มากกว่าที่จะให้ครูสอนให้ เด็กรู้จักคิดเป็น
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=47674&Key=news_research
ปฏิรูป!การศึกษา สุดทางที่ครู-เด็ก
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1161025
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1161025
“ปฏิรูปการศึกษา”
ยังทำกันอยู่และยังคงเดินหน้าต่อไปเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยรับปี 2561
นักข่าวหลายเสียงสื่อสะท้อนทำนองว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธ
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1161025
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1161025
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น