วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 3





บทที่ ๒
วิธีการสอนและวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
๑.วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child Center)
          ๑.๑ วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem-solving Wethod)
          วิธีสอนนี้ จอห์น  ดิวอี้ (John Dewey) เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา หลักใหญ่อาศัยวิธีการสอนที่ใช้แก้ปัญหาของนักเรียน โดยครูเป็นผู้ชี้แนะเท่านั้น วิธีการแก้ปัญหาโยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทุกประการคือ
          -กำหนดขอบเขตของปัญหา (Location of problem)
          -ตั้งสมมติฐาน (Setting up of Hypothesis)
          -ทดลองและรวบรวมข้อมูล (Experimenting and Gathering of Data)
          -วิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of Data)
          -สรุป (Conclution)
          ๑.๒ วิธีการสอนแบบแสดงบทบาท (Role Playing)
          วิธีการสอนแบบแสดงบทบาท เป็นการสอนที่กำหนดให้ผู้เรียน แสดงบทบาทตามสมมติขึ้นเทียบเคียงกับสภาพที่เป็นจริงหรือแสดงออกตามแนวคิดที่คิดว่าควรจะเป็น เพื่อให้ผู้ดูเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่เกิดขึ้นการแสดงบทบาทสมมติจะช่วยให้เกิดความสนใจ ฝึกความกล้าที่จะแสดงออก เป็นการผ่อนคลายความตรึงเครียดของเด็ก
          การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
               ๑.  ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ แบ่งเป็น  ๒  ขั้นตอน  ดังนี้
                     ๑.๑  ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ  ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อนว่า  ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้อะไรบ้างจากการแสดงและกรรมวิธีในการใช้บทบาทสมมตินำไปเพื่อต้องการให้เกิดอะไรขึ้น
                     ๑.๒  ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ  เมื่อผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะในการเตรียมใช้บทบาทสมมติแล้ว  ก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว  ซึ่งจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงวัยของผู้เรียน  เนื้อหาสาระ  ปัญหา  ความเป็นจริง  ข้อโต้แข้ง  ตลอดจนอุปสรรคที่จำเป็นต่างๆ  ที่ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด  ปฏิบัติและแก้ไขด้วยตนเอง
          ๑.๓ วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์
          วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการสอนโดยนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เป็นโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบปัญหาและวิธีการแก้ไข ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ๕ ขั้น วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ เหมาะสำหรับ การศึกษา ค้นคว้า ทดลอง แบบง่ายๆ ซึ่งจะต้องจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับวัย และระดับความสามารถของผู้เรียนจึงจะบังเกิดผลดี
          ๑.๔ วิธีสอนตามขึ้นที่ ๔ ของอริยสัจ ๔ (Buddist’s Method)
          ขั้นต่างๆของอริยสัจสี่  =  ขั้นต่างๆของวิธีการแก้ปัญหาหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์
                                          Reflective Thinking
          ทุกข์         =      การกำหนดปัญหา
          สมุทัย       =      การตั้งสมมติฐาน
          นิโรธ        =      การทดลองและเก็บข้อมูล
          มรรค        =      การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุป
          ๑.๕ วิธีการสอนแบบทดลอง (The Laboratory Method)
          วิธีการสอนแบบทดลอง มีลักษณะคล้ายกับวิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ แต่มีการปรับปรุงหลักการบางส่วนเพื่อความเหมาะสมกับการเรียนวิชาอื่นๆ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์
          วิธีการสองแบบทดลอง แสดงข้อเท็จจริง จากการสืบสวน ค้นคว้าและทดลอง
          วิธีการสอนแบบนี้ยังต่างจากการสอนแบบสาธิตด้วย เพราะการสอนแบบสาธิตเป็นผู้ทดลองให้นักเรียนดูส่วนการสอนแบบทดลองนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง
          ๑.๖ วิธีการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method)
          วิธีการสอนแบบอภิปรายเป้นการสอนแบบเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนด้วยกัน โดยมีครูเป็นผู้ประสานงาน ครูไม่ต้องซักถามปัญหานักเรียนแต่ให้นักเรียนซักถามปัญหาและช่วยกันตอบ อันเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนฝึกพูดและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตย
          ๑.๗ วิธีการสอนแบบจุลภาค (Micro-Teacher)
          วิธีการสอนแบบจุลภาค เป็นนวัตกรรมการศึกษา (Education Innovation) เป็นประสบการณ์ที่ย่อส่วนลงมาอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ทีการควบคุมอย่างรัดกุม โดยสอนแบบห้องเรียนแบบง่ายๆ กับนักเรียน ๕-๖ คน ใช้เวลา ๕-๑๕ นาที เปิดโอกาสให้ครู ได้ฝึกทักษะการสอนแบบใหม่ๆขณะการสอนมีการบันทึกภาพ เพื่อให้ครูได้ดูการสอนของตน เพื่อปรับปรุงทักษะที่ดีขึ้นก่อนนำไปใช้ได้จริงในชั้นเรียน การสอนวิธีนี้จึงเป็นการสอนแบบย่นย่อทั้งเวลา ขนาดของชิ้นงานและทักษะ
          ๑.๘ วิธีการสอนแบบโครงการ (Project Method)
          วิธีการสอนแบบโครงการ เป็นการสอนที่ให้นักเรียนเป็นหมู่หรือรายบุคคลได้วางโครงการและดำเนินงานให้สำเร็จตามโครงการนั้น เป็นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริงของนักเรียนเริ่มต้นทำฌครงการด้วยการ ตั้งปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น โครงการแก้ปัญหาความสกปรกของโรงเรียน เป็นต้น
          ๑.๙ วิธีสอนแบบหน่วย (Unit Teaching meyhod)
          วิธีสอนแบบหน่วยเป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กันโดยไม่กำหนดขอบเขตของวิชา แต่ยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า หน่วยโดยไม่ยึดขอบเขตรายวิชาแต่ถือเอาความมุ่งหมายเป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้เรียน การสอนเป็นหน่วยนั้นบางหน่วยจะสอนเป็นเวลาหลายเดือน บางหน่วยสอนจบภายในสองสามวัน แล้วแต่ความเล็กใหญ่ของหน่วย
          ๑.๑๐ วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center)
          เป็นการเรียนรู้จากการประกอบกิจกรรมของนักเรียนโดยแบ่งนักเรียนออกเป็น ๔-๖ กลุ่ม แต่ละศูนย์ประกอบกิจกรรมแตกต่างกันออกไปตามที่กำหนดไว้ในชุดการสอน แต่ละกลุ่มจะมีสื่อการเรียนที่จัดไว้ในซองหรือในกล่องวางบนโต๊ะเป็นศูนย์กิจกรรม แต่ละกลุ่มหมุนเวียนกันประกอบกิจกรรมตามศูนย์ต่างๆ แห่งละ ๑๕-๒๐ นาที จนครบทุกศูนย์
          ๑.๑๑ วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction)
          วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม หมายถึง สื่อการเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆ กรอบ แต่ละกรอบจะมีเนื้อหาเฉพาะแบบฝึกให้ทำพร้อมเฉลยคำตอบ
          ๑.๑๒ บทเรียนโมดูล (Module)
          บทเรียนโมดูลเป็นบทเรียนหน่วยหนึ่ง ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของบทเรียนที่สร้างขึ้น บทเรียนโมดูลจะประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ คือ องค์ประกอบของบทเรียนโมดูล
๑.      หลักการและเหตุผล (Prospectus)
๒.      จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
๓.      การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-Assessment)
๔.      กิจกรรมการเรียน (Enabling Activities)
๕.      การประเมินผลหลังเรียน (Post-Assessment)
๑.๑๓ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computing Assisted Instruction)
คอมพิวเตอร์ คือ สื่อการสอนที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูง ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนคอมพิวเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กัน หลักการของระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกแนวคิด มุ่งที่จะให้ระบบคอมพิวเตอร์ ให้เป็นสื่อสนับสนุนกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ในสถานการณ์และเนื้อหาวิชาที่มีความยาวที่เหมาะสมกับวุฒิภาวะทางการรับรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น ผู้เรียนได้ทราบผลแห่งการทำกิจกรรมทันที และผู้เรียนได้ประสบการณ์แห่งความสำเร็จ
๑.๑๔ การสอนซ่อมเสริม
การสอนซ่อมเสริม หมายถึง การจัดการเรียนเพิ่มแก่นักเรียนที่มีระดับสติปัญญาต่ำ เรียนไม่ทันเพื่อน ขาดความคิดรวบยอดหรือจัดกาเรียนเพิ่มแก่นักเรียนที่เก่งฉลาดเพื่อได้รับความรู้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่การซ่อมเสริมมักจัดให้เด็กที่มีผลกาเรียนต่ำ เรียนในเวลาไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจการเรียน
๑.๑๕ หมวกแห่งความคิด (The Six Thinking Hats)



Edward de Bon ได้พัฒนากิจกรรมเพื่อพัฒนาความคิด
หมวก คือ จะช่วยให้ผู้เรียนได้พยายามคิด ทั้งคิดในรอบ คิดทั้งจุดดี จุดด้อย จุดที่สนใจความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้นๆ แทนที่จะยึดกับความคิดเพียงด้านเดียวหมวกแห่งความคิดมี ๖ ใบดังนี้
๑.หมวกสีขาว ขาวบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนข้อเท็จจริง ข้อมูล ตัวเลข เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับไม่มีการโต้แย้ง
วิธีการใช้ ผู้เรียนตนใดสวมหมวกสีขาว หมายถึง การร้องขอให้สมาชิกคนอื่นเงียบ ถ้าผู้สวมหมวกสีขาวถามผู้ใดผู้นั้นต้องเท็จจริงหรือความรู้
                .หมวกสีแดง แทนอารมณ์ความรู้สึกและการหยั่งรู้
วิธีการใช้ เมื่อมีการสวมหมวกสีแดงคือความต้องการให้สมาชิกพูดแสดงความรู้สึกของตนต่อเรื่องราวต่างๆ เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี ความกลัว
          ๓.หมวกสีดำ แทนความคิดทางลบในทางที่ไม่ดี ไม่ได้ผล จุดด้อย ข้อผิดพลาด
วิธีการใช้ เมื่อมีการสวมหมวกสีดำคือความต้องการให้บอกข้อบกพร่อง ข้อเสีย ข้อผิดพลาด หมวกสีดำจะไม่ใช่เรื่องเริ่มแรกในกรณีที่มีการเสนอความคิดใหม่ๆ ในทางปฏิบัติจะใช้หมวกสีเหลืองก่อน
          ๔.หมวกสีเหลือง แทนสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งสร้างสรรค์ สนับสนุน ให้กำลังใจ
วิธีการใช้ เมื่อมีการสวมหมวกสีเหลืองคือความต้องการให้บอกในด้านดี จุดเด่น คุณค่าประโยชน์ ความคิดใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม การใชหมวกสีเหลืองจะช่วยพัฒนาความคิดใหม่ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การคิดแบบสร้างสรรค์
          ๕.หมวกสีเขียว แทน การเจริญเติบโต ความอุดมสมบูรณ์ คุณค่าของความคิด
วิธีการใช้ การสวมหมวกจึงเป็นความต้องการ ให้แสดงความคิดใหม่ๆ ความคิดที่ได้นั้นมีความเป็นไปได้และต้องเป็นความคิดที่มีประโยชน์ด้วย
          ๖.หมวกสีน้ำเงิน แทนการควบคุม ควบคุมบทบาทสมาชิกของกลุ่ม
วิธีการใช้ เมื่อมีการสวมหมวกสำน้ำเงินคือหัวหน้า สมาชิกอื่นๆ ควบคุมประบวนการทำงาน วิธีการอภิปรายทั้งการควบคุมการกำหนดปัญหา การบวนการคิด
          ๑.๑๖ การสอนแบบ ๔ MAT
          เป็นการสอนที่ประยุกต์มาจากแบบใยแมงมุม แต่กิจกรรมนั้น ๔ ขั้นตอน หรือใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล คือ
          ขั้นที่ ๑ Why (ทำไม) เพื่อตั้งคำถาม กระตุ้นให้เด็กสนใจในเรื่องที่เรียน
          ขั้นที่ ๒ What (อะไร) เป็นการอธิบายความเข้าใจการจัดการศึกษาด้วยตนเอง
          ขั้นที่ ๓ How (ทำอย่างไร) เป็นการนำไปปฏิบัติ การนำไปใช้
          ขั้นที่ ๔ If (ถ้า.....) เป็นการกระตุ้น
          ๑.๑๗ แผนการสอนแบบ CIPPA
          แผนการสอนแบบ CIPPA เป็นแผนการสอนที่ใช้กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ๕ ด้าน ได้แก่
๑.      Construct หรือ การสร้างความรู้ตามแนวความคิดของ Constructivism ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
๒.      Interaction หรือ การปฏิสัมพันธ์ หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนสื่อและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
๓.      Physical  Participation หรือการมีส่วนร่วมทางกาย หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในการทำกิจกรรมลักษณะต่างๆ
๔.      Process Learning หรือการเรียนรู้กระบวนการต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
๕.      Application หรือการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ หมายถึง ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ

๑.๑๘ วิธีการสอนแบบ Storyline


วิธีการสอนแบบ Storyline เป็นการสอนแบบบูรณาการโดยการดึงเอาแนวคิดจากวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษา ศิลปะ โดยใช้กระบวนการหลากหลายมาแก้ปัญหาและกิจกรรมหลายๆรูปแบบ โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนและตอบสนองความแตกต่างของผู้เรียนโดนคำนึงว่าผู้เรียนมีประสบการณ์และทักษะเดิม มีการเรียนรู้ในหลายลักษณะเช่น เรียนรายบุคคล กลุ่มใหญ่แต่เน้นการทำงานแบบร่วมมือ (Cooperative) และทำงานเป็นทีม



๒. เทคนิคการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ



เทคนิค/วิธีการสอน
ทักษะ/พฤติกรรมที่มุ่งเน้น
บทบาทผู้เรียน
๑.กระบวนการสืบค้น
(Inquiry process)
-การศึกษาค้นคว้า
-การเรียนรู้กระบวนการ
-การตัดสินใจ
-ความคิดสร้างสรรค์
    ศึกษาค้นคว้าเพื่อสืบค้นข้อความรู้ด้วยตนเอง
๒.การเรียนรู้แบบค้นพบ
(Discovery Learning)
-การสังเกต การสืบค้น
-การใช้เหตุผล การอ้างอิง
-การสร้างสมมติฐาน
    ศึกษาค้นคว้าข้อความรู้และขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
๓.การเรียนแบบแก้ปัญหา
(Problem-solving)
-การศึกษาแบบค้นคว้า
-การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าข้อมูล
-การลงข้อสรุป
-การแก้ปัญหา
   ศึกษาแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการและฝึกทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยตนเอง
๔.การเรียนแบบสร้างแผนผังความคิด (Concept Mapping)
-การคิด
-การจัดระบบความคิด
   จัดระบบความคิดของตนให้ชัดเจน เห็นความสัมพันธ์
๕.การตั้งคำถาม
(Questioning)
-กระบวนการคิด
-การตีความ
-การไตร่ตรอง
-การถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ
   เรียนรู้จากการคิดเพื่อสร้างข้อคำถามและคำตอบด้วยตนเอง
๖.การศึกษาเป็นรายบุคคล
(Individual Study)
-การศึกษาค้นคว้าข้อความรู้
-การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
-ความรับผิดชอบ
-การตอบคำถาม
   เรียนรู้อย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง
๗.การจัดการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยี (Technology-Related Instruction)
-การแก้ปัญหา
-การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
-การเรียนรู้ที่ต้องการผลการเรียนรู้ทันที
-การเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน
-บทเรียนสำเร็จรูป
-คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
-E-learning

   เรียนรู้ด้วยตนเองตามระดับความรู้ความสามารถของตน มีการแก้ไขฝึกซ้ำเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญ







๘.การอภิปรายกลุ่มใหญ่
(Whole-Class Discussion)
-การแสดงความคิดเห็น
-การวิเคราะห์
-การตีความ
-การสื่อความหมาย
-ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
-การสรุปความ
   มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น มีบทบาทมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้
๙.การอภิปรายกลุ่มย่อย
(Small-Group Discussion)
-กระบวนการกลุ่ม
-การวางแผน
-การแก้ปัญหา
-การตัดสินใจ
-ความคิดระดับสูง
-ความคิดสร้างสรรค์
-การแก้ไขข้อขัดแย้ง
-การสื่อสาร
-การประเมินผลงาน
-การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้
   รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะผู้นำกลุ่มหรือสมาชิกกลุ่มทั้งในบทบาทการทำงานและบทบาทเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม ในการสร้างข้อความรู้สึกหรือผลงานกลุ่ม
๙.๑เทคนิคคู่คิด (Thinking-Pair-Share)
-การค้นคว้าหาคำตอบ
-การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
   รับผิดชอบการเรียนร่วมกับเพื่อน
๙.๒เทคนิคการระดมพลังสมอง
(Brainstorming)
-การมีส่วนร่วม
-การแสดงความคิดเห็น
-ความคิดสร้างสรรค์
-การแก้ปัญหา
   แสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลายในเวลาอันรวดเร็ว
๙.๓เทคนิค Buzzing
-การค้นคว้าหาคำตอบด้วยเวลาจำกัด
   แสดงความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปในเวลาอันจำกัด
๙.๔การอภิปรายแบบกลุ่มต่างๆ
(Panel, Forum Symposium Seminar)
-การสื่อสาร
-การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
-การสรุปข้อความ
   รับฟังข้อมูลความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปในเวลาอันจำกัด
๙.๕กลุ่มติว
-การฝึกซ้ำ
-การสื่อสาร
   ทบทวนจากกลุ่มหรือเรียนเพิ่มเติม
๑๐.การฝึกปฏิบัติการ
-การค้นคว้าหาความรู้
-การรวบรวมข้อมูล
-การแก้ปัญหา
   ศึกษาค้นคว้าข้อความรู้ในลักษณะกลุ่มปฏิบัติการ
๑๑.เกม (Games)
-การคิดวิเคราะห์
-การตัดสินใจ
-การแก้ปัญหา
   ได้เล่นเกมด้วยตนเองภายใต้กฎหรือกติกาที่กำหนดได้คิดวิเคราะห์พฤติกรรมและการความสนุกสนานในการเรียน
๑๒.กรณีศึกษา (Case Studies)
-การค้นคว้าหาความรู้
-การอภิปราย
-การวิเคราะห์
-การแก้ปัญหา
   ได้ฝึกคิดวิเคราะห์อภิปรายเพื่อสร้างความเข้าใจแล้วตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหา
๑๓.สถานการณ์จำลอง
(Simulation)
-การแสดงความคิดเห็น
-ความรู้สึก
-การคิดวิเคราะห์
   ได้ทดลองแสดงพฤติกรรมต่างๆ ในสถานการณ์ที่จำลองใกล้เคียงสถานการณ์จริง
๑๔.ละคร (Dramatization)
-ความรับผิดชอบในบทบาท
-การทำงานร่วมกัน
-การวิเคราะห์
   ได้ทดลองแสดงบทบาทตามที่กำหนด เกิดประสบการณ์เข้าใจความรู้สึก เหตุผลและพฤติกรรมผู้อื่น
๑๕.บทบาทสมมติ
-มนุษยสัมพันธ์
-การแก้ปัญหา
-การวิเคราะห์
   ได้ลองสวมบทบาทต่างๆและศึกษาวิเคราะห์ความรู้สึกและพฤติกรรม
๑๖.การเรียนแบบร่วมมือ
(Cooperative Learning)
ประกอบด้วยเทคนิค
JIGSAW,JIGSAW II,TGT
STAD,LT,GI,NHT,Co-op Co-op
-กระบวนการกลุ่ม
-การสื่อสาร
-ความรับผิดชอบร่วมกัน
-ทักษะทางสังคม
-การแก้ปัญหา
-การคิดแบบหลากหลาย
-การสร้างบรรยากาศทำงานร่วมกัน
   ได้เรียนรู้บทบาทสมาชิกกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ รู้จักการไว้วางใจให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกกลุ่ม และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนและเพื่อนๆ ในกลุ่ม
๑๗.การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
(Participatory Learning)
-การนำเสนอความคิดเห็นประสบการณ์
-การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์
-กระบวนการกลุ่ม
   มีส่วนร่วมในการอภิปรายแสดงความคิดเห็นหรือปฏิบัติจนได้ข้อสรุป
๑๘.การเรียนการสอนแบบบูรณาการ แบบ Shoreline Method
-การค้นคว้าหาความรู้
-การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
-ทักษะทางสังคม
-กระบวนการกลุ่ม
-การสื่อสาร
-การแก้ปัญหา
   มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งด้านร่างกายจิตใจและการคิดดำเนินการเรียนด้วยตนเองทั้งในห้องเรียนและสถานการณ์จริง ศึกษาปฏิบัติด้วยตนเองทุกเรื่อง ร่วมแรงร่วมใจด้วยความเต็มใจ

๓. เทคนิควิธีสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนการสอน

การเรียนรู้อย่างตื่นตัว (Active Participation)
หมายถึง การมีส่วนร่วมที่ผู้เรียนรู้เป็นผู้จัดกระทำต่อสิ่งเร้า (สิ่งที่เรียนรู้) มีใช่เพียงการรับสิ่งเร้าหรือการมีส่วนร่วมอย่างเป็นผู้รับเท่านั้น การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงได้ดี ควรเป็นการตื่นตัวทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์
การเรียนรู้ที่แท้จริง
          หมายถึง ผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น (ซึ่งอาจเป็นความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะ ฯลฯ) จากกระบวนการที่บุคคลรับรู้และจัดกระทำต่อสิ่งเร้าต่างๆ เพื่อสร้างความหมายของสิ่งเร้า (สิ่งที่เรียนรู้) นั้น เชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์เดิมของตน จนเกิดเป็นความหมายที่ตนเข้าใจอย่างแท้จริง และสามารถอธิบายตามความเข้าใจของตนเองได้
เทคนิคและวิธีการสอน คืออะไร
          ขั้นตอนที่ผู้สอนดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ด้วยวิธีการต่างๆ ที่แตกกต่างกันไปตามองค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญอันเป็นลักษณะหรือลักษณะเฉพาะที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้นๆ (ทิศนา แขมมณี,๒๕๕๐)
เทคนิคการสอน หมายถึง
          กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริมขั้นตอนการสอน กระบวนการสอน วิธีการสอน หรือการกระทำใดๆ ทางการสอน เพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพมากขึ้น (รู้เร็ว ลึก นาน)
เทคนิคกับวิธีสอน ต่างกันอย่างไร.....
          เกมเป็นวิธีการสอนได้ถ้าครูมุ่งใช้เกมเป็นหลักในการสอน มีขั้นตอนที่เป็นลักษณะเฉพาะของเกมที่ชัดเจน
          เกมเป็นเทคนิคการสอนได้ถ้าครูมีวิธีสอนอื่นเป็นหลัก แต่เอาเกมมาเป็นตัวช่วยให้วิธีสอนนั้นมีคุณภาพมากขึ้น
          วิธีสอนแบบเกม
-          เทคนิคการตั้งคำถาม
-          เทคนิคผังกราฟิก
-          เทคนิค KWL
วิธีสอนแบบบรรยาย
-          เทคนิคการตั้งคำถาม
-          เทคนิคผังกราฟิก
-          เทคนิค KWL
-          เทคนิคการใช้เกม
วิธีสอนแบบบทบาทสมมติ (Role Playing)
          วิธีนี้เป็นกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดโดยให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกความรู้สึกนึกคิดของตน และนำเอาการแสดงออกของผู้แสดง ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตพบมาเป็นข้อมูลในการอภิปรา
          วัตถุประสงค์
          วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนและผู้อื่น
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน สถานการณ์สมมติ บทบาทสมมติ การแสดงบทบาทสมมติ การอภิปรายเกี่ยวกับความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้แสดง และสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ ผลกาเรียนรู้ของผู้เรียน
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอน/ผู้เรียน นำเสนอสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ
๒.      ผู้สอน/ผู้เรียน เลือกผู้แสดงบทบาท
๓.      ผู้สอนเตรียมผู้สังเกตการณ์
๔.      ผู้เรียนแสดงบทบาท และสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
๕.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้แสดง
๖.      ผู้สอน/ผู้เรียนสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ
๗.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เกิดการเรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
๒.      ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรม
๓.      ช่วย     พัฒนาทักษะการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหา
๔.      ช่วยให้การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมีความใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริง
๕.      ช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วม สนุกในการเรียนรู้ที่มีความหมาย
ข้อจำกัด
๑.      ใช้เวลามาก
๒.      ต้องอาศัยการเตรียมการและการจัดการที่รัดกุม หากจัดการไม่ดีอาจเกิดความยุ่งยากสับสนขึ้นได้
๓.      ต้องอาศัยความไวในการรับรู้ (Sensitivity) ของผู้สอน หากขาดคุณสมบัตินี้ ไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนบางคน และไม่ได้แก้ปัญหาแต่ต้น อาจเกิดปัญหาต่อเนื่องได้
๔.      ครูต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหา กรณีการแสดงไม่เป็นไปตามความคาดหมาย ดังนั้นจะต้องสามารถปรับสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้ได้
วิธีสอนโดยกรณีศึกษา (Case Studies)
เป็นวิธีการที่ใช้กรณีหรือเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาดัดแปลงและใช้เป็นตัวอย่างในการให้ผู้เรียนได้ศึกษา วิเคราะห์และอภิปรายเพื่อสร้างความเข้าใจ และฝึกฝนหาทางแก้ปัญหา
วัตถุประสงค์
วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้ได้ฝึกฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาจริง เปิดโอกาสให้คิดวิเคราะห์ และเรียนรู้ความคิดผู้อื่น มีมุมมองที่กว้างขึ้น
องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
ผู้สอน ผู้เรียน มีกรณีเรื่องที่คล้ายกับเหตุการณ์จริง มีประเด็นคำถามให้คิดหาคำตอบ มีคำตอบหลากหลาย ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างชัดเจนแน่นอน มีการอภิปรายสภาพการณ์ ปัญหา มุมมอง วิธีแก้ปัญหา และสรุปการเรียนรู้ มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอน/ผู้เรียนนำเสนอกรณีตัวอย่าง
๒.      ผู้เรียน ศึกษากรณีตัวอย่าง
๓.      ผู้เรียนอภิปรายประเด็นคำถามเพื่อหาคำตอบ
๔.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายคำตอบ
๕.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาและวิธีแก้ปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ
๖.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เกิดการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
๒.      ช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริงและได้ฝึกแก้ปัญหาโดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลที่จะเกิดขึ้น
๓.      ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
๔.      ได้ผลดีมากสำหรับผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์หลากหลายสาขา
ข้อจำกัด
๑.      หากกลุ่มผู้เรียนมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ไม่หลากหลาย การเรียนรู้จะแคบ เนื่องจากมีมุมมองใกล้เคียงกัน
๒.      แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมักเป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควร ซึ่งอาจไม่ตรงกับการปฏิบัติได้จริงก็ได้




วิธีสอนโดยใช้เกม (Game)
          เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นโดยให้ผู้เรียนเล่นเกมภายใต้ข้อตกลงของกติกาบางอย่างและนำเนื้อหาและข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมมาใช้อภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้
          วัตถุประสงค์
          วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้เรื่องที่สอนอย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถโดยผู้เรียนเล่นเอง ทำให้ได้ประสบการณ์ตรง ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน มีเกมและกติกาการเล่น มีการเล่นเกมตามกติกา มีการอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่น วิธีการเล่น และพฤติกรรมการเล่นของผู้เล่นหลังจากเล่นแล้ว มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่น
๒.      ผู้เรียนเล่นตามกติกา
๓.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่นและวิธีการหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน
๔.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เกิดการเรียนรู้โดยการเห็นประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายและคงทน
๒.      ผู้สอนไม่เหนื่อยมาก และผู้เรียนชอบ
๓.      ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน สนุก เกิดการเรียนรู้จากการเล่น
ข้อจำกัด
๑.      ผู้สอนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างเกม
๒.      ต้องอาศัยการเตรียมการมาก เกมเพื่อการฝึกทักษะ แม้จะไม่ยุ่งยากซับซ้อนนัก แต่ต้องเตรียมวัสดุ อุปกรณ์การเล่นให้ผู้เรียนจำนวนมาก
๓.      ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำการอภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนประมวลผลและสรุปการเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์
วิธีสอนแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation)
          เป็นกระบวนการให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่นที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น โดยใช้ข้อมูลที่มีสภาพคล้ายข้อมูลในความเป็นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง
          วัตถุประสงค์
          วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริงและเกิดความเข้าใจในสถานการณ์หรือสิ่งที่มีตัวแปรจำนวนมากที่มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน มีสถานการณ์ ข้อมูล บทบาท กติกา ที่สะท้อนความเป็นจริง ผู้เล่นในสถานการณ์มีปฏิสัมพันธ์กัน หรือมีกับปัจจัยต่างๆ ในสถานการณ์นั้น ผู้เล่นหรือผู้สวมบทบาทมีการใช้ข้อมูลที่ให้ในการตัดสินใจ การตัดสินใจส่งผลต่อผู้เล่นใน มีการอภิปรายสภาพการณ์ ข้อมูล และกติกาของสถานการณ์ วิธีการเล่น พฤติกรรมการเล่น และผลการเล่นเพื่อการเรียนรู้ มีผลการเรียนรู้
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลอง
๒.      ผู้สอนเสนอสถานการณ์จำลอง บทบาท ข้อมูล และกติการการเล่น
๓.      ผู้เรียนเลือกบทบาทที่จะเล่น หรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน
๔.      ผู้เรียนเล่นตามกติกาที่กำหนด
๕.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อมูล และกติกาของสถานการณ์ วิธีการ พฤติกรรมการเล่น และผลการเล่น
๖.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เรียนรู้เรื่องที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนได้ เนื่องจากได้มีประสบการณ์ที่ประจักษ์ชัดด้วยตนเอง
๒.      ช่วยให้ผู้เรียนฝึกทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก เช่น กระบวนการมีปฏิสัมพันธ์ กระบวนการสื่อสาร กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการคิด
๓.      ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน สนุก มีความหมาย
ข้อจำกัด
๑.      ค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลามากในการเล่นและการเตรียมการ
๒.      เป็นวิธีการที่พึ่งสถานการณ์จำลอง ถ้าไม่มีสถานการณ์จำลองที่ตรงกับจุดประสงค์หรือความต้องการ ผู้สอนต้องสร้างขึ้นเอง ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในการสร้างสถานการณ์เพียงพอ ก็จะไม่สามารถสร้างได้
๓.      การให้ผู้เรียนได้เล่นและแสดงออกอย่างหลากหลายจะเป็นการยากสำหรับผู้สอนในการนำการอภิปรายให้ไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์
วิธีสอนโดยยการทดลอง (Experiment)
          เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้จากการเห็นผลประจักษ์ชัดจากการคิดและการกระทำของตนเองผู้สอนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายและกระบวนการในการทดลองให้ชัดเจน
          วัตถประสงค์
          วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้ผู้เรียนรายบุคคลหรือรายกลุ่มเกิดการเรียนรู้ โดยการเห็นผลประจักษ์จากการคิดและการกระทำของตนเอง ทำให้การเรียนรู้นั้นตรงกับความเป็นจริง มีความหมายและจำได้นาน
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน มีปัญหาและสมมติฐานการทดลอง มีวัสดุอุปกรณ์สำหรับการทดลอง มีการทดลอง มีผลารเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากการทดลอง
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอน/ผู้เรียนกำหนดปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง
๒.      ผู้สอนให้ความรู้ที่จำเป็นต่อการทดลอง ให้ขั้นตอน รายละเอียด ในการทดลองแก่ผู้เรียน โดยใช้วิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสม
๓.      ผู้เรียนลงมือทดลองโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นตามขั้นตอนที่กำหนดและบันทึกข้อมูลการทดลอง
๔.      ผู้เรียนวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
๕.      ผู้สอน/ผู้เรียนอภิปรายผลการทดลอง และสรุปการเรียนรู้
๖.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ผ่านกระบวนการพิสูจน์ ทดสอบ และเห็นผลด้วยตนเอง จนเกิดการเรียนรู้ได้ดี เข้าใจ และจดจำได้นาน
๒.      ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ ทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการกลุ่ม รวมทั้งได้พัฒนาลักษณะนิสัยใฝ่รู้
๓.      ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
ข้อจำกัด
     ๑. ค่าใช้จ่ายสูง หากต้องใช้วัสดุอุปกรณ์มาก หรือต้องออกนอกสถานที่
     ๒. ใช้เวลามาก ผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าเข้าใจ และมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถสอนและฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย (Deduction)
          เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นโดยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ กฎ และข้อสรุปในเรื่องที่เรียน แล้วจึงให้ตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่าง หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
          วัตถุประสงค์
          วิธีสอนนี้จะช่วยให้ได้เรียนรู้หลักการและสามารถนำหลักดังกล่าวไปใช้ได้
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน มีทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปต่างๆ มีตัวอย่างสถานการณ์ที่หลากหลาย ที่สามารถนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปต่างๆ นั้นไปใช้ได้ มีการฝึกนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปต่างๆไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอนถ่ายทอดทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสม
๒.      ผู้สอนให้ตัวอย่างสถานการณ์ที่หลากหลาย ที่สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้
๓.      ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัตินำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
๔.      ผู้สอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์และอภิปรายการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
๕.      ผู้สอนประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เกิดการเรียนรู้โดยการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
๒.      ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนการนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปต่างๆ ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
๓.      ช่วยให้ผู้เรียนที่มีความสามารถหรือเรียนรู้ได้เร็วสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องรอผู้เรียนรู้ที่ช้ากว่า
ข้อจำกัด
๑.      ผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่าง สถานการณ์ ปัญหา ที่หลาหลายให้ผู้เรียนฝึกทำ
๒.      หากผู้เรียนบางคนเรียนรู้ได้ช้า อาจตามไม่ทันเพื่อน เกิดปัญหาตามมา
วิธีสอนโดยการใช้อุปนัย (Induction)
          เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นโดยการนำตัวอย่าง/ข้อมูล/ความคิด/เหตุการณ์/สถานการณ์/ปรากฎการณ์ ที่มีหลักการ/แนวคิด ที่ต้องการสอนให้แก่ผู้เรียน มาให้ผู้เรียนศึกษาวิเคราะห์ จนสามารถดึงหลักการ/แนวคิดที่แฝงอยู่ออกมา เพื่อนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ต่อไป
          วัตถุประสงค์
          วิธีสอนนี้จะมุ่งช่วยให้ได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ สามารถจับหลักการ หรือประเด็นสำคัญ ได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้หลักการ/แนวคิด หรือข้อความรู้ต่างๆ อย่างเข้าใจ
          องค์ประกอบสำคัญ (ขาดไม่ได้)
          ผู้สอน ผู้เรียน มีตัวอย่าง/ข้อมูล/สถานการณ์/เหตุการณ์/ปรากฎการณ์/ความคิด ที่เป็นลักษณะย่อยๆ ของสิ่งที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้ มีการวิเคราะห์ตัวอย่างต่างๆ เพื่อหาหลักการร่วมกันมีข้อสรุปที่มีลักษณะเป็นหลักการ/แนวคิด มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
          ขั้นตอนสำคัญ (ขาดไม่ได้)
๑.      ผู้สอนหรือผู้เรียนยกตัวอย่าง/ข้อมูล/สถานการณ์/เหตุการณ์/ปรากฎการณ์/ความคิด ที่เป็นลักษณะย่อยของสิ่งที่จะเรียนรู้
๒.      ผู้เรียนศึกษาและวิเคราะห์หาหลักการที่แฝงอยู่ในตัวอย่างนั้น
๓.      ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อดี
๑.      ช่วยให้เกิดการเรียนรู้โดยการส้รางความรู้ด้วยตนเอง ทำให้เข้าใจและจดจำได้ดี
๒.      ได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
๓.      เกิดการเรียนรู้ทั้งด้านเนื้อหาสาระและทักษะกระบวนการ
ข้อจำกัด
๑.      ใช้เวลามาก
๒.      ต้องใช้ตัวอย่างที่ดี
ยังมีวิธีสอนที่น่าสนใจอีกเยอะ
-          การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
STAD, TGT, GI, NHT, CIRT, ฯลฯ
-          การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายกลุ่ม
-          การจัดการเรียนรู้แบบ ๔ MAT
-          การจัดการเรียนรู้แบบ KWL, KEL plus, KWLH, KWDL
-          การจัดกาเรียนรู้ด้วยเทคนิค PBL
-          การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการคิดแก้ปัญหาอนาคต (FPS)
-          ฯลฯ
เทคนิคการใช้คำถาม
          คำสั่ง : จงตั้งคำถามจากเรื่องเล่าต่อไปนี้ให้ได้มากที่สุด
          “เด็กหญิงแพรไหมกำลังเก็บผักบุ้งอยู่ที่แปลงผักของโรงเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจตั้งแต่เช้าเนื่องจากคนครัวของโรงอาหารได้สั่งซื้อผักบุ้งจำนวน ๑๐ กิโลกรัมเพื่อนำมาทำเป็นอาหารกลางวันให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียน”
-          การใช้คำถามเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คือ ต้องมีการศึกษาลักษณะคำถาม และครูต้องใช้ศิลปะในการถามซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น
-          เพราะฉะนั้นครูต้องมีการฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะในการใช้
-          การใชคำถามสามารถดึงดูดความสนใจ ต้องอาศัยประสบการณ์ในการใช้
ใคร?      อะไร?      ที่ไหน?      อย่างไร?     เมื่อใด?      ทำไม?      เท่าใด?
          ประโยชน์ของคำถาม
๑.      เสริมสร้างความสามรถในการคิดให้แก่ผู้เรียน
๒.      เพื่อเร้าความสนใจใช้ในการนำเข้าสู่บทเรียน
๓.      คำถามที่ดีจะทำให้มีการอภิปรายต่อเนื่องกันไป
๔.      ขยายความคิด
๕.      ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน
๖.      ใช้เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
๗.      ก่อให้เกิดการค้นคว้าและสำรวจหาความรู้ใหม่
๘.      ใช้ทบทวนหรือสรุปเรื่องราวที่สอน
๙.      ใช้วัดความเข้าใจ ความสามารถของผู้เรียน และใช้วัดการสอนของผู้สอนด้วย
ลักษณะคำถามที่ดี
๑.  มีความชัดเจนผู้เรียนรู้ต้องรู้ว่าต้องการถามอะไร
๒.  เข้าใจง่าย ภาษาพูดเข้าใจง่าย
๓.  มีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การเรียน การสอน สัมพันธ์กับเรื่องราวเนื้อหา กิจกรรม
เทคนิคการใช้คำถาม
๑.  ถามด้วยความมั่นใจ
๒.  ถามให้เป็นภาษาพูดง่ายๆ
๓.  เว้นระยะให้คิด อย่าเร่งรัดคำตอบจากผู้เรียนมากเกินไป
๔.  ให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบได้หลายคน
เทคนิคการใช้ผังกราฟิก
๑.      ผังความคิด (A Mind Map)
๒.      ผังมโนทัศน์ (A Concept Map)
๓.      ผังแมงมุม (A Spider Map
๔.      ผังก้างปลา (A Fishbone Map)

๑.      ผังความคิด (A Mind Map)
เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของสาระหรือความคิดต่างๆ ให้เห็นในภาพรวม โดยใช้ เส้น คำ ระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง สี เครื่องหมาย รูปทรงเรขาคณิต และภาพ แสดงความหมายความเชื่อมโยงของความคิดหรือสาระนั้นๆ
     มีขั้นตอนหลักๆในการทำดังนี้
     ๑.๑ เขียนความคิดรวบยอดหลักไว้ตรงกลาง แล้วแตกสาขาออกไปเป็นความคิดรวบยอดย่อยๆ
     ๑.๒ เขียนคำที่เป็นตัวแทนความหมายของความคิดนั้นๆ ลงไปและใช้รูปทรงเรขาคณิตแสดงระดับของคำ คำใดอยู่ในขอบเขตหรือระดับเดียวกัน ใช้รูปทรงเรขาคณิตเดียวกันล้อมกรอบคำนั้น
     ๑.๓ ลากเส้นเชื่อมโยงความคิดเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของความคิดต่างๆ อาจเป็นเส้นตรง โค้ง ลูกศร เส้นประ
     ๑.๔ ใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นตัวแทนความหมายของ ความคิดและความรู้สึกต่างๆ
     ๑.๕ สร้างผังความคิดให้สมบูรณ์ ตามความเข้าใจตน






















๒.      ผังมโนทัศน์ (A Concept map)


การเขียนแผนที่มโนทัศน์ (Concept Mapping) มีหลักการคือ การเชื่อมโยงความคิด (Node) ด้วยเส้นเชื่อมโยง (Relationship) ที่มีคำอธิบายบนเส้นความสัมพันธ์ (Label) โดยเป็นการอธิบายความสัมพันธ์ เพื่อแสดงทิศทางของความสัมพันธ์ด้วยทิศทางของหัวลูกศร (Direction) ตัวอย่างเพื่อความเข้าใจดูได้จากภาพประกอบซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Novack ซึ่งเป็นต้นตำรับของผู้พัฒนา Concept Map


๓.  ผังแมงมุม (A Spider Map)
เป็นผังกราฟิกที่ใช้แสดงมโนทัศน์แบบหนึ่ง โดยแสดงความคิดรวบยอดใหญ่ไว้ตรงกลาง และเส้นที่แยกออกจากความคิดรวบยอดใหญ่จะแสดงรายละเอียดของความคิดนั้น
          ขั้นตอนการเขียนผัง
 ๑.  เขียนมโนทัศน์หลักหรือหัวข้อเรื่องใหญ่ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ
 ๒.  จัดลำดับข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่องค์ประกอบหลัก องค์ประกอบรอง องค์ประกอบย่อย ตามลำดับ
 ๓.  เชื่อมโยงมโนทัศน์ต่าง ๆ โดยใช้เส้น        


๔.  ผังก้างปลา (A Fishbone Map)
เป็นผังกราฟิกที่นำเสนอข้อมูลให้เป็นถึงสามเหตุและผลของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ขั้นตอนการเขียนผัง
       ๑.  ระบุปัญหาที่ตำแหน่งหัวปลา
       ๒.  เขียนสาเหตุหลักหรือสาเหตุย่อยเป็นก้างปลา
       ๓.  เขียนสาเหตุย่อยจากแต่ละสาเหตุหลักเป็นก้างปลาเล็ก ๆ
                                

เทคนิคตระกูล K
-          KWL
-          KWL Plus
-          KWLH
-          KWDL

KWL
การจัดการเรียนรู้แบบ   KWL   เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการอ่าน   ซึ่งสอดคล้องกับทักษะการคิดอย่างรู้ตังว่าตนคิดอะไร   มีวิธีคิดอย่างไร   สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้   และสามารถปรับเปลี่ยนกลวิธีการคิดของตนเองได้   โดยผู้เรียนจะได้รับการฝึกให้ตระหนักในกระบวนการทำความเข้าใจตนเอง   มีการวางแผน   ตั้งจุดมุ่งหมาย   ตรวจสอบความเข้าใจของตน มีการจัดระบบข้อมูลเพื่อการดึงมาใช้ภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
 การจัดการเรียนรู้แบบ  KWL  มีขั้นตอนสำคัญ   ดังต่อไปนี้
 ๑.   ขั้น   K   (What   you   know)  เป็นขั้นของการเตรียมความรู้พื้นฐานก่อนอ่าน   เช่น   ถ้าจะให้เรียนรู้เรื่อง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ   ผู้สอนอาจทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่อง 
ทรัพยากรธรรมชาติรอบตัว  แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันระดมสมองในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม   ขณะเดียวกันก็จะให้มีการบันทึกความคิดเห็นที่เกิดจากการระดมสมอง   ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี   เช่น   ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันบันทึกบนกระดานดำในรูปของแผนที่ความคิด   (Mind   Map)   หรือแผนผังใยแมงมุม   (Web   Diagram)   ให้ชัดเจน   ซึ่งจะประกอบด้วยความคิดหลัก   ความคิดรองและความคิดย่อยตามลำดับ   โดยผู้สอนช่วยจัดข้อความที่เป็นความคิดให้ถูกต้อง ก่อนที่จะให้ผู้เรียนคัดลอกแผนที่ความคิดหรือแผนผังนั้นลงในแผ่นกระดาษ   แต่ถ้าผู้เรียนคุ้นเคยกับการเขียนแผนผังความคิดแล้ว   ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียนสิ่งที่ตนรู้ เกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนเรียนรู้ เป็นแผนผังความคิดด้วยตนเอง
   ๒.   ขั้น  W   (What   you   want   to   know)
          ๒.๑ การตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน      
หลังจากที่ผู้สอนกระตุ้นความรู้เดิมของผู้เรียนในขั้น   K   แล้วผู้สอนจะนำผู้เรียนไปสู่ขั้นการตั้งจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ โดยการอ่านซึ่งผู้สอนจะใช้คำถามกระตุ้นผู้เรียน     เช่น  นักเรียนต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง   ในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะเกิดผลอย่างไร นักเรียนจะมีวิธีการแนะนำให้เพื่อน  ๆ   หรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องปฏิบัติอย่างไร   เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ถ้านักเรียนมีโอกาสพูดคุย  กับท่านนายกรัฐมนตรี   นักเรียนต้องการจะถาม    อะไรบ้าง    เกี่ยวกับเรื่องนี้    เป็นต้น
   ๒.๒ ผู้เรียนเขียนคำถาม
ผู้สอนให้ผู้เรียนเขียนคำถามที่ตนมีลงในกระดาษให้มากที่สุด

          ๒.๓  ผู้เรียนหาคำตอบ
ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านข้อความที่ผู้สอนเตรียมไว้ โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามหาคำตอบในสิ่งที่ตนตั้งคำถามไว้แล้วนั้น   ในขั้นนี้ผู้สอนอาจดัดแปลงจากการอ่าน   เป็นการใช้วิธีบรรยายหรือดูวิดีทัศน์ก็ได้ และจะเป็นการเน้นทักษะการฟังแทนการอ่าน
     ๓. ขั้น   L   (What   you   have   learned)
หลังจากที่ผู้เรียนอ่านข้อความแล้ว ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบที่ได้ลงในกระดาษเปล่า รวมทั้งเขียนข้อมูลอื่นๆ ที่ศึกษาเพิ่มเติมได้   แต่ไม่ได้ตั้งคำถามไว้การบันทึกข้อมูลตามกิจกรรมในขั้น   K   W   และ   L   นั้นผู้สอนควรให้ผู้เรียนบันทึกโดยใช้ตาราง   ๓   ช่องดังตัวอย่างข้างล่าง
จุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ KWL
๑.      นำมาใช้เพื่อพัฒนาการอ่านได้ทุกระดับ ทุกรายวิชา
๒.      นำมาใช้พัฒนาความสามารถในการคิดหรือพัฒนาทักษะการคิดได้
ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ KWL เรื่องสัตว์บกครึ่งน้ำ

Know
บทอ่านเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้างหรือรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่กำหนด
Want to know
อยากรู้อะไรบ้างจากบทอ่านหรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติมจากบทอ่าน
Learned
เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน





KWL plus
          เทคนิค KWL Plus ก็คือ การจัดกิจกรรมของ KWL แล้วเพิ่มเติมในส่วนของการสรุปสาระสำคัญ และให้นักเรียนทำแผนผังมโนทัศน์หรือแผนผังความคิด (Mind Mapping) เพื่อสรุปความคิดรวบยอดหลักของนักเรียน
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค KWL Plus
ขั้นก่อนการอ่าน
๑. ขั้น K ผู้สอนจะนำเสนอหัวข้อเรื่องที่จะให้ผู้เรียนได้ศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน รวมถึงวิธีที่นักเรียนได้รับความรู้นั้นโดยเริ่มจาการระดมความคิดของผู้เรียนทั้งชั้นเรียน แล้วให้ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มระดมสมองกันภายในกลุ่มของตนเองอีกครั้งพร้อมทั้งเขียนสิ่งที่ตนเองรู้ลงในใบงานช่อง k
๒. ขั้น w ให้ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มตั้งคำถามถึงสิ่งที่ต้องการทราบเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องนั้นลงในใบงาน ช่อง w
ขั้นระหว่างอ่าน
๓. ผู้สอนจะให้ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มศึกษา เนื้อเรื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง โดยผู้เรียนสามารถปรึกษากับคู่หรือกลุ่มของตนเองได้
๔. ขั้น L ในขณะที่อ่านเรื่องให้เขียนคำตอบให้กับคำถามที่คู่หรือกลุ่มของตนเองได้ตั้งไว้และเขียนคำตอบหรือความรู้ที่ได้รับจากบทอ่านลงในช่อง L หากเกดคำถามเพิ่มเติมระหว่างอ่านสามารถตั้งคำถามเพิ่มเติมในส่วนที่ต้องการทราบเพิ่มเติมในช่อง w
ขั้นหลังอ่าน
๕. ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มอภิปรายผลของคำตอบที่ได้เขียนลงในช่อง L
๖.ขั้น H ผู้สอนจะสอบถามถึงคำถามที่ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มได้ตั้งขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งสอบถามถึงแนวทางและแหล่งในการสืบค้นข้อมูล เพื่อตอบคำถามที่ได้ตั้งขึ้น โดยให้เขียนวิธีการและแหล่งข้อมูลเหล่านั้นลงในช่อง H และดำเนินการสืบค้นข้อมูลตามที่ได้วางแผนไว้
จุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ KWL plus
๑.      นำมาใช้เพื่อพัฒนาการอ่านได้ทุกระดับ ทุกรายวิชา
๒.      นำมาใช้พัฒนาความสามารถในการคิดหรือพัฒนาทักษะการคิดได้
๓.      นำมาใช้พัฒนาการลำดับขั้นตอนการคิดแบบรวบยอดของผู้เรียนได้
ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ KWL plus

Know
รู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน ระบุประเด็นสั้นๆ
What do we want to learn
อยากรู้อะไรจากประเด็นที่ระบุหรือต้องทำอะไร อย่างไรกับประเด็นเหล่านั้น
What did we learned
จากการอ่านและตอบคำถามได้รู้อะไรบ้าง ทีอะไรบ้างที่ยังรู้ไม่ชัดเจน




   KWDL
การสอนด้วยเทคนิค KWDL เป็นเทคนิคการเรียนรู้ที่พัฒนามาจาก KWLของโอเกิล(Ogle  ๑๙๘๖) ที่ต้องอาศัยทักษะการอ่านเป็นฐาน  นั่นคือนักเรียนมีความสามารถในการอ่านก่อนที่จะสามารถพัฒนาทักษะการอ่านมากขึ้น  การสอนด้วยเทคนิค KWDL มีขั้นตอนดำเนินการเช่นเดียวกับ เทคนิคการสอนแบบ KWL แต่จะเพิ่ม Dในขั้นตอนที่ ๓   จากเดิม ๓ ขั้นตอนมาเป็น ๔ ขั้นตอน เพื่อให้เหมาะสมในการใช้แก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์  
เทคนิค KWDL  แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน ดังนี้
K: เรารู้อะไร (what we   know) โจทย์บอกอะไรเราบ้าง
W: เราต้องการรู้ / ต้องการทนราบอะไร (what we want to know) โจทย์ให้ / บอกอะไรบ้าง
D: เราทำอะไร/อย่างไร (what we do) เรามีวิธีการหาคำตอบอย่างไร
L: เราเรียนรู้อะไรจากขั้นตอนที่ ๓(what we learned) วิธีการศึกษาคำตอบและการคิดคำนวณ

ประโยชน์ 
ในการสอนด้วยเทคนิคKWDL ช่วยให้นักเรียนคิดแก้โจทย์ปัญหาระคนอย่างมีแบบแผน และ เป็นฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์โจทย์เป็นขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การคิดในการหาคำตอบให้กับโจทย์ที่เปรียบเสมือนการขึ้นบันไดที่ต้องเริ่มจากขั้นที่ 1 ก่อน ขึ้นไปสู่บันไดขั้นต่อไป ซึ่งจะข้ามขั้นใดขั้นหนึ่งไปไม่ได้ และเมื่อเรียนเสร็จแล้ว ผลที่เกิดขึ้นคือ ก่อให้เกิดความเข้าใจคงทนเกี่ยวกับการแก้โจทย์ปัญหาระคนที่ติดตัวนักเรียนไปตลอดชีวิต      
จุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ KWDL
๑.      นำมาใช้เพื่อพัฒนาการแก้ไขปัญหาคณิตศาสตร์
๒.      นำมาใช้พัฒนาความสามารถในการคิดหรือพัฒนาทักษะการคิดได้
๓.      นำมาใช้พัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะกระบวนการ
ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ KWDL   
What we know
โจทย์บอกอะไรบ้าง
What we want to know
โจทย์ให้หาอะไร
What we do
มีวิธีการหาคำตอบอย่างไร
What we learned
คำตอบที่ได้ และวิธีคิด
๑..............................
๒..............................
๓..............................
๑............................
๒............................
๓............................
แสดงวิธีทำ
วิธีที่ ๑
วิธีที่ ๒
คำตอบ................
สรุปขั้นตอน
KWLH
          เทคนิค KWLH นั้นพัฒนามาจากเทคนิค KWL ตามแนวคิดของโอเกิ้ล (Donna Ogle) ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการอ่านและกระตุ้นความคิดขณะที่อ่านโดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังนี้
๑.      ขั้น K (What we know) นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
๒.      ขั้น W (What we want to find out) นักเรียนต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
๓.      ขั้น L (What we have learned) นักเรียนได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องที่อ่าน
๔.      ขั้น H (How can we learn more) นักเรียนจะเรียนรู้เพิ่มเติมได้อย่างไร
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ KWLH
๑.      กำหนดคำหรือเรื่องที่ต้องการจัดการเรียนรู้
๒.      ทำตาราง KWLH ให้กับผู้เรียน
๓.      ถามผู้เรียนว่ารู้อะไรบ้าง (K) จากคำหรือเรื่องที่กำหนดให้ แล้วบันทึก
๔.      ถามผู้เรียนว่าต้องการรู้อะไรจากคำหรือเรื่องที่กำหนดให้ (W) แล้วบันทึก
๕.      ให้ผู้เรียนอ่านเรื่องราวจากคำหรือเรื่องที่กำหนดให้แล้วบันทึกว่ารู้อะไรบ้างหลังการอ่าน (L)
๖.      ให้นักเรียนระบุว่าจะหาความรู้เพิ่มเติมได้ด้วยวิธีใด (H)
จุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ KWLH
๑.      นำมาใช้จัดการเรียนรู้ได้ทุกกลุ่มสาระ
๒.      นำมาใช้พัฒนาความสามารถในการคิดหรือพัฒนาทักษะการคิดได้
๓.      นำมาใช้พัฒนาทักษะการอ่านได้
๔.      นำมาใช้ในการให้ผู้เรียนรู้จักวางแผนค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม
ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ KWLH

Know
รู้อะไรบ้างจากคำว่าไดโนเสาร์
What to learn
ต้องการรู้อะไรจากเรื่องไดโนเสาร์
What they learn as they read
รู้อะไรบ้างจากการอ่านเรื่องไดโนเสาร์
How we can Learned more
จะหาความรู้เพิ่มเติมโดยวิธีใด
-ตัวโตมาก
-สูญพันธ์แล้ว
-ฯลฯ
-มีกี่ชนิด
-สูญพันธ์ได้อย่างไร
-เมืองไทยเคยมีไดโนเสาร์หรือไม่
-ฯลฯ
-กินพืชและสัตว์เป็นอาหาร
-ตัวโตแต่สมองเล็ก
-เมืองไทยเคยขุดพบซากไดโนเสาร์
-วิจัย
-พิพิธภัณฑ์
-ทัศนศึกษา
-อินเทอร์เน็ต
-ฯลฯ

เทคนิคการสอนการคิดสร้างสรรค์โดยใช้ภาพแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model)
ลักษณะสำคัญ คือ ใช้รูปภาพที่สอดคล้องกับสาระวัตถุประสงค์ และวัยของผู้เรียนเป็นสื่อที่นำไปสู่ การรู้คำศัพท์ วลี ประโยค ข้อความ จนถึงการอ่านและการเขียนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยมีการฝึกซ้ำๆ เป็นปริมาณมาก และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดรวบยอด และหลักการด้วยตนเองด้วยวิธีคิดแบบอุปนัย และที่สำคัญเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจากตัวผู้เรียน
วิธีดำเนินการ
๑.      เริ่มต้นด้วยการใช้รูปภาพที่ประกอบด้วยวัตถุ สิ่งของ ฉาก เหตุการณ์ สถานการณ์ (ที่นักเรียนรู้จักคุ้นเคย) ให้นักเรียนสังเกต ช่วยการระบุคำต่างๆ เหตุการณ์ การปฏิบัติที่ปรากฏในรูปภาพ
๒.      ครูโยงภาพกับคำศัพท์ หรือคำที่นักเรียนเสนอ นักเรียนพูดออกเสียงและสะกดคำที่ได้จากภาพ โดนครูคอยแนะนำแก้ไขให้ออกเสียงให้ถูกต้อง
๓.      นักเรียนช่วยกัยจัดกลุ่มคำ หรือจัดปะเภทคำ หรือคำศัพท์ที่ระบุจากภาพ (ความคิดรวบยอด มีการจำแนก จัดกลุ่ม ขึ้นอยู่กับวัย และระดับประสบการณ์ของนักเรียน)
๔.      นักเรียนฝึกเขียนวลี แต่งประโยคจากคำศัพท์ต่างๆ
๕.      นักเรียนฝึกเขียนข้อความ ย่อหน้า และเขียนเรื่องจากภาพ (ใช้การฝึกอย่างน้อย ๒๐ครั้ง/เรื่อง)

ทุกเทคนิควิธีสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ถ้าใช้อย่างถูกต้อง สอดคล้องเหมาะสมกับเป้าหมาย จุดประสงค์ การเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา/หน่วยการเรียน ดังนั้น เทคนิควิธีสอน รูปแบบการสอนต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย หลักการหรือแนวทางปฏิบัติ กระบวนการ หรือขั้นตอนการเรียน การสอนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละรดับชั้นได้รู้ ได้เข้าใจจริง และสามารถนำความรู้หรือสิ่งที่รู้สู่การปฏิบัติในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพ และเพื่อการเรียนรู้เรื่องอื่นๆต่อไป

เพิ่มเติม : คู่มือการสอน ศตวรรษที่ ๒๑
การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning: CBL) เป็นหนึ่งในรูปแบบการสอนแนว active learning ให้ผู้เรียนได้ครบทั้งด้านเนื้อหาวิชา และทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสอนรูปแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเป็น รูปธรรมเราสามารถออกแบบการสอน ตามแนวทาง CBLได้ โดยจัดรูปแบบการสอนเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
 ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้นความสนใจ          แม้ ในรูปแบบการสอนแบบปกติ จะมีขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนของเราอยู่แล้วก็ตาม แต่ในการจัดการเรียนรู้แบบ CBL นั้น มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องกระตุ้นความสนใจผู้เรียน การทำให้ผู้เรียนนั้นมีความอยาก อยากเรียน อยากรู้ อยากค้นหาคำตอบ ถือเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL
ในการจัดการสอนแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นชิน มักจะใช้ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ หรือแม้กระทั่งการลงโทษเพื่อให้ผู้เรียนสนใจในเนื้อหาบทเรียน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าผู้เรียนฟังครูสอน แบบจำเป็น และเข้าเรียนแบบจำทน ขาดความสนใจต่อบทเรียนที่เราเตรียมการมา แต่ในการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นจะมีวิธีการจัดการกระตุ้นผู้เรียนที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีกว่าเดิม และสนใจในการค้นหาความรู้ด้วยตนเองได้ การกระตุ้นความสนใจ
1. ใช้เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน หรือสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเป็นตัวกระตุ้นปกติ แล้วผู้สอนมักจะมีเป้าประสงค์ในใจว่า เรียนเพื่อสอบ เราจึงสอนเพื่อให้ผู้เรียนไปสอบ จนลืมคิดไปว่า การเรียนคือการพัฒนาชีวิต เนื้อหาที่เรียนต้องนำไปใช้ในชีวิตของผู้เรียนได้ ถ้าเรียนไปแล้วไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง นั่นแสดงว่าเนื้อหานั้นไร้ค่า แต่ถ้าเนื้อหาที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เนื้อหาเหล่านั้นจะไม่ไร้ค่าอีกต่อไป ผู้ สอนจึงมีหน้าที่จัดการให้เนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียน เช่น “เงินหาง่ายถ้าใช้เป็น” “คนรวยใช้เงินอย่างไร” การใช้เรื่องการเก็บออม และการลงทุนเพื่อกระตุ้นความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ แทนที่จะบอกให้จำสูตรอย่างเดียว การใช้เนื้อหาเรื่องพืชพันธุ์ที่ปลูกได้ในบ้านของตัวเองกระตุ้นความสนใจใน วิชาวิทยาศาสตร์ แทนที่จะสอนให้จำพืชที่ไกลตัว หรือการใช้บทสนทนาที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในการกระตุ้นความสนใจในวิชาภาษา อังกฤษ แทนที่จะสอนแค่ไวยากรณ์ เป็นต้น

1. ใช้สื่อมัลติมีเดียการ ใช้สื่อมัลติมีเดียถือเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งรูปภาพ เสียง ข้อความต่างๆที่นำมาใช้ ผู้สอนจำเป็นจะต้องเลือกสื่อที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา โดยที่สื่อนั้นเป็นสื่อที่กระตุ้นความสนใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจในบทเรียนนั้นๆได้ดี จึงจะส่งผลต่อผู้เรียนได้มาก และส่งผลให้ผู้เรียนอยากหาคำตอบในเนื้อหาที่เราจะทำการเรียนการสอน

        ครู อาจารย์ วันนี้สบายเพราะมีคนทั่วโลกทำสื่อต่างๆให้ใช้ฟรี โดยไม่มีค่าลิขสิทธิ์ คุณครูสามารถนำมาใช้ได้เลย ในบทต่อไปจะนำรายละเอียดที่มาของสื่อเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

2. ใช้เกม หรือกิจกรรมการ ใช้เกมหรือกิจกรรมนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีมากในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ซึ่งเกมหรือกิจกรรมที่เลือกมานั้นอาจจะเป็นสันทนาการง่ายๆทั่วไป จนไปถึงเกมหรือกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราจะจัดการเรียน การสอน ซึ่งผู้สอนสามารถเลือกใช้ได้หลากหลายให้เหมาะกับผู้เรียน

         การกระตุ้นผู้เรียนนั้นผู้สอนจำเป็นที่จะต้องเลือกกิจกรรมให้สอดคล้องกับผู้ เรียน เราต้องรู้ก่อนว่าเนื้อหาที่เราจะทำการจัดการเรียนการสอนนั้นจำเป็นกับชีวิต ของผู้เรียนหรือไม่ แล้วเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับเนื้อหานั้น เพื่อเป็นการดึงความสนใจผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญในเนื้อหา ซึ่งจะทำให้ผู้สอนสามารถเลือกเนื้อหามาใช้ในกระบวนการกระตุ้นได้ง่ายขึ้น ผู้สอนนั้นสามารถใช้การกระตุ้นทั้งสามหัวข้อพร้อมกันได้ เช่น การใช้เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนมานำเสนอในรูปแบบของสื่อ มัลติมีเดีย เมื่อจบการนำเสนอสื่อแล้วจึงนำเกมหรือกิจกรรมมาเป็นการกระตุ้นอีกทีหนึ่ง

ขั้นตอนที่ 2 ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ

       ขั้นตอนต่อมาหลังจากการกระตุ้นความสนใจคือ การตั้งปัญหา และแบ่งกลุ่มผู้เรียนตามความสนใจ กระบวนการนี้ทั้งหมดจะเป็นการใช้ปัญหาเป็นตัวนำ ขั้นการตั้งปัญหาในรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นผู้สอนไม่ได้เป็นผู้กำหนดคำถามให้ตั้งแต่แรก แต่จะเป็นการปล่อยให้ผู้เรียนค้นหาปัญหาที่ตนเองสงสัย โดยปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจในบทเรียน เมื่อผู้เรียนค้นพบปัญหาที่ตนเองสงสัยแล้วนั้นจึงทำการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ จำนวนของกลุ่มนั้นจะตั้งขึ้นตามจำนวนปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และสมาชิกของแต่ละกลุ่มนั้นก็จะเกิดจากความพอใจของผู้เรียนเอง และดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยตนเอง

       กระบวนการ CBL นั้นจะได้ผลดีมากจากความสมัครใจ ความสนใจ และความร่วมมือกันของผู้เรียน กระบวนการนี้จะเห็นได้ว่าผู้เรียนนั้นไม่ได้ถูกบังคับให้รู้ แต่เกิดความ “อยากรู้” ด้วยตนเอง และเมื่อผู้เรียนเกิดความอยากรู้ นั่นจึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนั้นค้นหาเนื้อหาที่ตนเอง ต้องการ ซึ่งผู้เรียนนั้นพร้อมที่จะเปิดรับความรู้นั้นได้อย่างเต็มที่

ขั้นตอนที่ 3 ค้นคว้าและคิด

       ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุดในการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL ผู้สอนจะปล่อยให้ผู้เรียนนั้นได้ใช้เวลาในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ ผู้สอนนั้นมีหน้าที่เดินให้คำปรึกษาตามกลุ่ม ให้คำปรึกษาเวลาที่ผู้เรียนมีปัญหา ผู้สอนจะต้องหักห้ามใจไม่ให้สอน แต่จะเปลี่ยนหน้าที่จากการสอนทั่วไปที่คอยบอกต่อเนื้อหาคำตอบและตัดสินความ ถูกต้องของคำตอบ เป็นผู้ให้คำปรึกษา ชี้แนะ และตอบคำถามด้วยคำถาม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด โดยหลีกเลี่ยงการตัดสิน และการอธิบายเนื้อหาอย่างละเอียดอันจะเป็นการส่งผลให้ผู้เรียนหมดอิสระทาง ความคิด แต่จะใช้วิธีการง่ายๆเช่นการถามกลับ จะดีเหรอ แน่ใจเหรอ ทำไมถึงคิดแบบนั้น มันมีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ หรือเพื่อนๆคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้

       สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งสำหรับผู้สอนนั้นไม่ใช่ความรู้ในเนื้อหาข้อมูลนั้นๆ แต่เป็นแหล่งข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่ผู้สอนนั้นจะสามารถนำไปแนะนำผู้เรียนได้ ผู้สอนในรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่รู้ที่สุดในห้องเรียน เพราะว่าความรู้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและมีจำนวนมหาศาล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการที่ผู้สอนนั้นจำเป็นต้องแนะนำให้ผู้เรียนหาความ รู้ได้ถูกแหล่ง แนะนำให้ผู้เรียนรู้จักเลือกข้อมูลความรู้ได้อย่างถูกต้อง และปล่อยให้ผู้เรียนสนุกไปกับการเรียนรู้และค้นคว้าความรู้นั้นๆ

          สิ่งที่ได้จากกระบวนการนี้ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เป็นทักษะการคิดและค้นคว้าหาคำตอบที่จะเกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่ผู้สอนนั้น ปล่อยให้ผู้เรียนได้ใช้เวลากับเนื้อหาที่ตนเองสนใจได้อย่างเต็มที่ ผู้สอนหลายท่านอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ถ้าหากผู้เรียนนั้นค้นหาคำตอบไม่ได้ หรือได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องนั้นจะเกิดข้อเสียอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะทำให้ผู้สอนหลายท่านยกเลิกวิธีการนี้และหันกลับไปใช้รูปแบบสอนแบบ เดิมเพื่อความสบายใจ แต่เนื่องจากกระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นเรามองไกลมากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง แต่คือการฝึกฝนให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด และรู้จักค้นคว้าหาข้อมูล รู้จักเลือกใช้และตัดสินใจในข้อมูลที่หาได้อย่างง่ายดายในยุคสมัยนี้ผ่าน เครื่องมือต่างๆ ถ้าผู้สอนนั้นยังกังวลเกี่ยวกับคำตอบที่ผู้เรียนได้จะไม่ตรงกับความถูกต้อง ของเนื้อหา ผู้เขียนจะขอบอกว่าอย่าเพิ่งใจร้อนเพราะว่ากระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นเราเพิ่งดำเนินการมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นเอง

ขั้นตอนที่ 4 นำเสนอ

       ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนั้นจะได้นำเสนอผลงาน ที่ตนเองที่ได้ไปค้นคว้าและคิดออกมา และผลงานที่นำเสนอนั้นอยากให้ผู้สอนพึงระลึกว่านี่คือผลงานแห่งความทุ่มเท ของผู้เรียนอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้เรียนออกมาทำการเสนอหน้าชั้น ผู้สอนนั้นจำเป็นจะต้องปล่อยให้ผู้เรียนนั้นนำเสนอจนจบ โดยที่ผู้สอนนั้นไม่มีความจำเป็นต้องแทรกแซงระหว่างการนำเสนอ แสดงความคิดเห็น หรือซักถามใดใด ผู้ที่มีหน้าที่หลักในการแสดงความคิดเห็น และซักถามนั้นคือผู้เรียนร่วมชั้น

        เมื่อจบการนำเสนอผู้สอนจะเป็นผู้ เปิดประเด็นให้มีการซักถามในชั้นเรียน และนี่คือกระบวนการที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ตน เองได้ค้นหามา ถ้าหากข้อมูลที่หามานั้นไม่ถูกต้อง การซักถามในห้องเรียนนั้นจะเกิดประเด็นใหม่ๆที่ผู้นำเสนอนั้นจำเป็นต้องมี ข้อมูลเพื่อตอบผู้ซักถามให้ถูกต้อง ซึ่งผู้นำเสนอก็จะพบว่าข้อมูลของตนไม่ถูกต้องหรือครอบคลุมพอ และต้องเพิ่มเติมตรงไหนบ้างจากการซักถามของผู้เรียนด้วยกัน โดยที่ผู้สอนจะทำหน้าที่คอยควบคุมคำถามและข้อคิดเห็นต่างๆให้อยู่ในประเด็น ไม่หลุดจากเนื้อหามากนัก ถ้าหากในผู้เรียนร่วมชั้นไม่มีข้อซักถามหรือข้อสงสัยใดใด ผู้สอนอาจจะเป็นผู้เริ่มถามเองก็ได้ เพื่อให้เกิดบรรยากาศของการซักถามในชั้นเรียน ซึ่งวิธีการนี้อาจจะต่อยอดไปสู่ความรู้ใหม่ๆที่ไกลกว่าเนื้อหาเดิมที่เคยสอน กันมา และเป็นเนื้อหาที่ผู้เรียนนั้นเต็มใจที่จะค้นหาด้วยตนเอง

ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผล

       ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลกิจกรรมทั้งหมดที่ผู้เรียนได้ทำมาตลอดเวลาของการ เรียนรู้ในรูปแบบ CBL ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในรูปแบบของการประเมินผลก่อน สิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ หรือหลักสูตรแกนกลางต้องการนั้น คือการที่ผู้เรียนมีการพัฒนาทั้งด้านของ

1. ความรู้ (Knowledge)
2. ทักษะ (Skill)
3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude)

         ดังนั้น การประเมินผลนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้านนี้ เพื่อให้ได้คุณภาพของผู้เรียนที่เป็นมาตรฐาน โดยปกตินั้นผู้สอนจะคุ้นเคยกับการประเมินด้านความรู้ นั่นก็คือการจัดสอบ หรือการหาคะแนนจากแบบทดสอบต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนนั้นมีความรู้ แต่ในส่วนของการประเมินด้านทักษะ และการประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นไม่มีความชัดเจนมากนัก จึงกลายเป็นว่าคะแนนที่เราเห็นกันจากการเรียนรู้ในรูปแบบปกตินั้นมักจะเป็น คะแนนของความรู้ทั้งสิ้น

ในรูปแบบการเรียนการสอนแบบ CBL ต้องประเมิน 3 ด้าน ดังนี้

1. ด้านความรู้เรา สามารถประเมินความรู้ได้ด้วยวิธีการที่เราคุ้นเคยกันมาตลอด นั่นก็คือการจัดให้มีการสอบวัด หรือแบบฝึกหัดต่างๆ และนำคะแนนมาชี้วัดว่าผู้เรียนมีความรู้ในเนื้อหาด้านนี้เท่าไหร่

2. ด้านทักษะการ ประเมินด้านทักษะนั้นจะเป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียน ซึ่งเราสามารถใช้รูปแบบการประเมินแบบรูบริค (Rubric) ในการประเมินผู้เรียนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งหัวข้อในการประเมิน และรายละเอียดการประเมินที่จำเป็น เช่น เราจะประเมินในหัวข้อทักษะการนำเสนอ รายละเอียดการประเมินที่จำเป็นคือด้านเนื้อหา ด้านความชัดเจนในการพูด และด้านเทคนิคในการนำเสนอ เป็นต้น

3. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใน การประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นสามารถใช้การประเมินแบบรูบริค (Rubric) ได้ ซึ่งก็จะมีส่วนคล้ายกับการประเมินด้านทักษะนั่นคือ การตั้งหัวข้อการประเมินในคุณลักษณะที่ผู้สอนอยากให้เกิดขึ้นในผู้เรียน และรายละเอียดสำหรับการประเมินที่สอดคล้องกัน

        ทั้ง นี้ผู้สอนจำเป็นต้องรู้ว่าต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใดเกิดขึ้นในผู้เรียน เพื่อการตั้งหัวข้อการประเมินที่ถูกต้อง ซึ่งในส่วนนี้ผู้สอนนั้นสามารถดูรายละเอียดได้ในหลักสูตรแกนกลางได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน โดยเฉพาะในด้านของทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เนื้อจากด้านความรู้เราสามารถประเมินได้อย่างชัดเจนจากแบบทดสอบต่างๆ แต่ด้านทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นจำเป็นจะต้องประเมินจากผู้สอนและ ผู้เรียนด้วยกันเอง ซึ่งจะเป็นการประเมินรอบด้าน ทั้งผู้เรียนที่ทำกิจกรรมด้วยกัน และผู้สอนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ในชั้นเรียน เพื่อการประเมินที่มีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้อาจจะเป็นการโหวตให้คะแนนในด้านต่างๆ หรือแม้แต่การแจกแบบสอบถามให้กรอกในหัวข้อที่ต้องการ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น